วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2567

“พิชัย”แนะแบงก์ชาติลดดอกเบี้ยก่อนสหรัฐทำบาทอ่อน-หนุนส่งออก

On July 8, 2019

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ขณะนี้เงินบาทแข็งค่ามากและมีแนวโน้มที่จะทะลุต่ำกว่า 30 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ ดังนั้น จึงอยากเรียกร้องอีกครั้งให้แบงก์ชาติและคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้พิจารณาลดดอกเบี้ยเพื่อทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลง เพื่อสนับสนุนการส่งออกที่มีแนวโน้มจะติดลบในปีนี้ เพราะครึ่งปีที่ผ่านมาการส่งออกติดลบแล้วกว่า 4% และยังไม่มีแนวโน้มที่จะดีขึ้น แม้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะเริ่มผ่อนคลาย

อีกทั้งแม้ว่าตัวเลขการจ้างงานในสหรัฐจะดี ทำให้สหรัฐอาจจะไม่ลดดอกเบี้ยเร็วนัก ประเทศไทยยิ่งน่าจะต้องลดก่อน เพราะถ้าลดดอกเบี้ยหลังสหรัฐลด ผลต่อค่าเงินบาทจะมีน้อยมาก นอกจากนี้การลดดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะจะช่วยลดต้นทุนของภาคธุรกิจ และลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยของภาคครัวเรือน ทั้งนี้ อยากให้แบงก์ชาติของไทยได้คิดแผนและมีมาตรการล่วงหน้า ไม่ใช่รอให้เกิดความเดือดร้อนแล้วค่อยมาคิดทำ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยที่พัฒนาช้าอยู่แล้วจะยิ่งพัฒนาช้าลงไปอีก ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงของโลกสมัยใหม่อาจจะต้องการให้ธนาคารกลางของทุกประเทศต้องมีความฉับไวในการออกมาตรการเพื่อรับมือสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อย่างเช่น การรับมือเงินคริปโตสกุลลิบราของเฟซบุ๊คที่จะออกมา เป็นต้น

นายพิชัยกล่าวต่อว่า นอกจากนี้จากรายชื่อคณะรัฐมนตรีตามโผที่ออกมา ประชาชนส่วนใหญ่มีความกังวลว่าน่าจะได้คุณภาพของบุคลากรที่แย่กว่าเดิม และจะทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลยิ่งแย่ลง ส่งผลถึงความเชื่อมั่นและจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจได้ รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเป็นคนเดิมยังเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง และค่าเงินบาทแข็งแปลว่าเศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง ในขณะที่สื่อหลักต่างประเทศอย่างไฟแนนเชียลไทม์เห็นตรงข้าม และวิจารณ์ว่าประเทศไทยยังเป็นคนป่วยของอาเซียนและจะยิ่งป่วยหนัก ซึ่งจากตัวเลขการส่งออกที่ติดลบหนักตลอดครึ่งปีแรก และการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำลงมากเหลือเพียง 3.1% หรืออาจต่ำกว่า คงจะบอกได้ว่าใครถูก ใครผิด หรือใครขี้โม้ โดยอยากให้นายสมคิดไปศึกษาว่าในภาวะสงครามการค้า 5 เดือนแรกของปีนี้ เวีนดนามกลับส่งออกไปสหรัฐเพิ่ม 36% ไต้หวันเพิ่ม 23% เกาหลีเพิ่ม 12%

นอกจากนี้ยังจะมี รมว.คลังคนใหม่ที่ไม่มีผลงานเลยในอดีต ไม่ว่าจากที่เคยบริหารกระทรวงไอซีทีที่ไทยไม่มีบริษัทยูนิคอร์นทางเทคโนโลยีเหมือนประเทศอื่นๆในอาเซียน หรือจากที่บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมที่การลงทุนหายไปมาก ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การส่งออกทรุดลงด้วย แล้วจะมาบริหารกระทรวงการคลังให้ดีได้อย่างไร ทั้งนี้ ยังไม่พูดถึงความไม่โปร่งใสในคดีปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยที่มีลายเซ็นอนุมัติแต่อ้างว่าคัดค้านโดยยังไม่ปรากฏหลักฐานการคัดค้าน แล้วจะอธิบายได้อย่างไร การที่ไม่โดนฟ้องไม่ได้แปลว่าไม่ผิด แต่อาจเกิดจากการช่วยเหลือกันเป็นการเฉพาะเหมือนที่นายชัยเกษม นิติศิริ อดีตอัยการสูงสุด ตั้งข้อสังเกตก็เป็นได้

ทั้งนี้ ยังมี รมต. อีกหลายคนที่สร้างความสงสัยให้กับประชาชน เช่น กระทรวงพลังงานที่ทำไมต้องแย่งกันนัก กระทรวงอุตสาหกรรมที่กลับคำจากที่เคยประกาศว่าจะไม่รับตำแหน่งก่อนการเลือกตั้ง และอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับธุรกิจของครอบครัวจากที่อ้างกันไว้เอง อีกทั้งข้อสงสัยในความรู้ความสามารถของ ครม. กระทรวงเศรษฐกิจทั้งหมด เป็นต้น ซึ่งไม่น่าจะแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจได้ และจะทำให้ประชาชนต้องทนกับความลำบากทางเศรษฐกิจไปอีกนาน


You must be logged in to post a comment Login