วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2567

Oops..Sorry!

On May 30, 2018

คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง

(โลกวันนี้วันสุข วันที่  1-8 มิถุนายน 2561)

“ผมเป็นคนหนึ่งที่ให้กำลังใจและประกาศยืนหยัดสนับสนุนท่านและคณะในการเดินหน้าแก้ปัญหาของชาติมาโดยตลอด ผมขอขอบคุณที่ทั้งท่านและ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ตักเตือนตำรวจมิให้เกิดการปฏิบัติการ “ถ่อย” เช่นนี้อีก แต่มันไม่เพียงพอ เพราะความเสียหายต่อศรัทธาในรัฐบาลและ คสช. มันทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะการดำเนินการตามโรดแม็พที่อาจมีปัญหา และจะเป็นสาเหตุให้ขบวนการสามานย์ปลุกระดมให้เกิดความไม่สงบสุขในที่สุด กรณีที่เกิดขึ้นนี้อาจเป็นเพียง “น้ำผึ้งหยดเดียว” ที่ทำลายความสงบสุขของชาติ ผมขอความกรุณาจากท่านและคณะจงอย่าประมาทมองข้ามเรื่องนี้ไป ผมขอเสนอให้ท่านใช้อำนาจตามมาตรา 44 ออกคำสั่งย้าย ผบ.ตร. ผู้บังคับบัญชาและฝ่ายอำนวยการที่เกี่ยวข้องกับชุดปฏิบัติการบุกจับหลวงปู่พุทธะอิสระ”

พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะและผู้ก่อตั้ง “องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน” ออกแถลงการณ์ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวกรณีตำรวจกองปราบปรามจู่โจมจับกุมพระสุวิทย์ ธีรธมฺโม หรือ “พุทธะอิสระ” คามุ้งก่อนรุ่งสางและจับสึก ทำให้นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ กลายเป็นผู้ต้องหา

ที่สำคัญแถลงการณ์ได้เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจมาตรา 44 ปลด พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) และนายตำรวจที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการครั้งนี้ ในตอนท้ายยังหมายเหตุให้ช่วยกันแชร์หนังสือฉบับนี้ให้ถึงนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และ คสช. เพราะไม่ต้องการดำเนินการเป็นหนังสือ แต่ต้องการดำเนินการผ่านสังคมออนไลน์ เพื่อให้สังคมได้ทราบเป็นวงกว้างและเกิดความรวดเร็วในการพิจารณาเรื่องนี้

พล.ต.นพ.เหรียญทองยังระบุว่า “ผมขอให้ท่านอย่าได้กังวลใจว่าข้อเสนอของผมนี้จะทำลายขวัญกำลังใจของตำรวจ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันล้มเหลว มันทำลายความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประชาชนกับตำรวจ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งต่อภารกิจพิทักษ์สันติราษฎร์ ทำลายภาพลักษณ์ขององค์กรตำรวจอย่างต่ำช้า ทำให้ตำรวจดีๆต้องพลอยรับกรรมชั่วๆจากตำรวจเลวๆ อีกทั้งข้อเสนอของผมนี้จะเป็นโอกาสให้ท่านได้ส่งเสริมนายตำรวจดีๆตามแนวทางพระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในการส่งเสริมคนดีให้ขึ้นมาทำหน้าที่ปกครอง ปรับปรุงแก้ไขเพื่อเรียกความศรัทธาเชื่อมั่นคืนจากประชาชน”

“บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” ขอโทษและตำหนิตำรวจ

แถลงการณ์ของ พล.ต.นพ.เหรียญทองถือว่ากดดันรัฐบาลทหารไม่น้อย เพราะหลังแถลงการณ์ไม่นาน พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ก็ออกมากล่าวขอโทษและตำหนิปฏิบัติการของตำรวจกองปราบปรามผ่านโฆษกรัฐบาลและโฆษกกระทรวงกลาโหม

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวหลังประชุม ครม. (28 พฤษภาคม) ว่า ขอโทษแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งเสียความรู้สึก โดยได้ว่ากล่าวตักเตือนและกำชับไปแล้วว่าต้องไม่มีเหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก รวมทั้งฝากขอโทษนายสุวิทย์ที่อาจได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ด้วย ต่อไปจะให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานด้วยความรัดกุมรอบคอบและปรับวิธีการให้เหมาะสม โดยยืนยันว่ารัฐบาลจะยึดหลักกฎหมายและให้ความเป็นธรรมกับทุกคนอย่างเต็มที่ แต่ปฏิบัติการครั้งนี้ก็เป็นไปตามขั้นตอนทั้งหมด และถือว่าโชคดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บและสูญเสีย

พล.อ.ประวิตรให้สัมภาษณ์กรณี พล.ต.นพ.เหรียญทองให้ พล.อ.ประยุทธ์ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ย้าย พล.ต.อ.จักรทิพย์และผู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้องกับชุดปฏิบัติการจับนายสุวิทย์ว่า เป็นความคิดของคนคนเดียว ก็ว่ากันไป เรื่องนี้ตนขอโทษประชาชนเกี่ยวกับการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ บางทีทำอะไรเกินเลยก็ต้องขอโทษ ซึ่งประชาชนบางส่วนยังไม่เข้าใจ แต่เชื่อว่าเรื่องนี้ไม่มีผลกระทบอะไรกับรัฐบาล

ขณะที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวถึงกรณีที่มีคลิปการจับกุมนายสุวิทย์จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ โดยยืนยันว่าการปฏิบัติการเป็นไปตามยุทธวิธี ซึ่งประชาชนอาจไม่ชินกับการจับพระ จึงกระทบความรู้สึกของประชาชนบ้าง แต่ต้องเข้าใจว่ามีทั้งพระดีและพระไม่ดี การปฏิบัติการของตำรวจก็ต้องระมัดระวังตัวเอง เป็นไปตามโปรโตคอล (ขั้นตอน) เหมือนการจับกุมเสก โลโซ และ พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ เจ้าหน้าที่ไม่ได้เลือกปฏิบัติ

ไม่เจตนาปลอมพระปรมาภิไธย

หากดูตามข้อหาของนายสุวิทย์ นอกจากข้อหาอั้งยี่ ซ่องโจร และกรรโชกทรัพย์แล้ว ข้อหาที่หนักที่สุดคือการปลอมพระปรมาภิไธย “ภปร.-สก.” นำมาประดิษฐานหลังองค์พระเครื่อง “พระนาคปรกอุดปรอทรุ่นหนึ่งในปฐพี” ซึ่งนายสุวิทย์ก็ยอมรับสารภาพ แต่ยืนยันว่าไม่มีเจตนาแอบอ้าง และเทิดทูนสถาบันกษัตริย์ดุจชีวิต ส่วนข้อหาอั้งยี่ ซ่องโจร และกรรโชกทรัพย์ จะขอต่อสู้ในชั้นศาลที่น่าสนใจคือความเห็นของนายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร) โพสต์เฟซบุ๊คข้อหาปลอมแปลงพระปรมาภิไธยของนายสุวิทย์ทำนองว่า “ไม่มีเจตนา” โดยอ้างว่า

1.ชาวบ้านในต่างจังหวัดเอาสีมาพ่นลงในผืนผ้าเพื่อทำธงพระปรมาภิไธยเพื่อต้อนรับเสด็จ ไม่เป็นความผิดฐานปลอมพระปรมาภิไธย

2.ชาวบ้านเขียนพระปรมาภิไธยไว้บนหิ้งพระเพื่อสักการะบูชา ก็ไม่เป็นความผิดฐานปลอมพระปรมาภิไธย

3.การปลอมพระปรมาภิไธยกับการทำพระปรมาภิไธยเพื่อสักการะบูชา เจตนาปลอมกับเจตนาสักการะบูชาต่างกัน

แม้นายไพศาลพยายามจะให้มองการกระทำของนายสุวิทย์ที่ “เจตนา” แต่ก็แตกต่างสิ้นเชิงกับประชาชนทั่วไปที่นำพระปรมาภิไธยไปใช้ ซึ่งทำด้วยใจ และไม่ได้เป็นลักษณะจำหน่ายแจกจ่ายหรือเพื่อสร้างบารมีให้กับตัวเอง

ร่วมพิธีเพื่อให้ “พระขลัง”?

ประเด็นของ “พุทธะอิสระ” ไม่ใช่แค่ พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตรจะออกมาขอโทษเท่านั้น แต่ยังมีการเผยแพร่ภาพครั้งที่ “พุทธะอิสระ” เชิญผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และอดีตผู้บัญชาการทหารบก ไปร่วมพิธีเททองหล่อพระเกตุมาลาพระนาคปรก “ปกเกล้า ปกแผ่นดิน” และยกฐานองค์พระขึ้นประดิษฐาน โดย พล.อ.ประยุทธ์ ผบ.ทบ. (ขณะนั้น) เป็นประธานเททองหล่อพระ

ส่วนอดีต ผบ.ทบ. ที่มาร่วมในงานคือ พล.อ.ประวิตร ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและอดีต ผบ.ทบ. พล.อ.สมทัต อัตตะนันทน์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) และอดีต ผบ.ทบ. และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ. ซึ่งการไปร่วมพิธีครั้งนั้น “พุทธะอิสระ” มีการเจิมหน้าผากให้นายทหารที่ร่วมพิธีด้วย รวมถึง “บิ๊ก 3 ป.” ที่มีอำนาจใน คสช. ขณะนี้

แน่นอนว่า พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ ต่างก็ยืนยันว่าไม่สนิทและไม่ได้เป็นลูกศิษย์ “พุทธะอิสระ” ทั้งการไปร่วมพิธีก็ไปในฐานะพุทธศาสนิกชน ไปหลายวัด ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าอย่าเอาเรื่องเก่ามาพัวพัน ภาพที่มี 4 อดีต ผบ.ทบ. ร่วมพิธีเททองหล่อพระที่วัดอ้อน้อยเมื่อปี 2557 ก็ไปตามคำเชิญหวังให้พระขลัง

ส่วน พล.อ.อนุพงษ์บอกว่า ในฐานะพุทธศาสนิกชนไม่ได้ไปที่วัดอ้อน้อยที่เดียวแต่ไปหลายที่ เมื่อนุ่งผ้าเหลืองมาเชิญ สมควรไปก็ไป ไม่มีอะไรเป็นข้อเสียหายในขณะนั้นก็ไป

แต่วัดที่จะเชิญให้ ผบ.ทบ. และอดีต ผบ.ทบ. ไปร่วมพิธีมากขนาดนี้คงแทบเป็นไปไม่ได้ ซึ่งสะท้อนถึงบารมีของ “พุทธะอิสระ” ขณะนั้นได้อย่างดี โดยเฉพาะก่อนและหลังการรัฐประหาร 2557 ที่ “พุทธะอิสระ” ได้ฉายาว่า “ราชสีห์แห่งแจ้งวัฒนะ” ที่มีบทบาทโดดเด่นไม่น้อยไปกว่า “ลุงกำนัน” เลย

ควรขอโทษ “กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง”

คำ “ขอโทษ” ของ พล.อ.ประยุทธ์ต่อนายสุวิทย์มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเหมาะสมหรือให้ท้ายผู้กระทำผิดหรือไม่ เพราะข้อหานายสุวิทย์ล้วนรุนแรง โดยเฉพาะการปลอมพระปรมาภิไธย แม้ภาพการบุกจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดูไม่เหมาะสมหรือเกินเลยสำหรับกลุ่มที่ศรัทธานายสุวิทย์ก็ตาม

นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ความเห็นผ่านเฟซบุ๊คว่า คนที่ พล.อ.ประยุทธ์ควรขอโทษมากกว่าคือ “กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง” เพราะออกมาเรียกร้องสิทธิเลือกตั้งที่เกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง แต่กลับถูกตั้งข้อกล่าวหาอย่างร้ายแรง ทั้งเจ้าหน้าที่มีพฤติกรรมลักษณะกลั่นแกล้ง ตลอดจนมีการนำตัวไปฝากขังเสมือนเป็นอาชญากร

แม้แต่การห้ามชุมนุมเกิน 5 คน ก็เป็นคำสั่งเผด็จการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ส่วนการเรียกร้องสิทธิเลือกตั้งเพื่อไม่ให้มีการ “สืบทอดอำนาจ” เพราะเป็นภยันตรายที่เกิดจากการรัฐประหารอันละเมิดต่อกฎหมาย การกระทำของ “กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง” จึงสมควรแก่เหตุ และเป็นการป้องกันโดยชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 67 และ 68 ไม่ต้องรับโทษและไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย รัฐบาลจึงควรออกมาขอโทษ “กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง” โดยเร็วมากกว่า

ราชสีห์แห่งกรวย

ชะตากรรมของนายสุวิทย์จะเป็นอย่างไรก็ต้องรอการตัดสินของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งสถานะของนายสุวิทย์วันนี้แตกต่างจากในอดีตแน่นอน โดยเฉพาะช่วงที่กลุ่ม กปปส. “ชัตดาวน์” นายสุวิทย์ซึ่งห่มผ้าเหลืองในนาม “พุทธะอิสระ” เปรียบเหมือน “ราชสีห์” ที่ผู้คนต่างยำเกรง แม้แต่ “กรวย” ที่เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของการชุมนุม ใครที่ฝ่าฝืนเข้ามาจะต้องได้รับการลงโทษ แม้แต่คนในเครื่องแบบไม่ว่าตำรวจหรือทหาร

แม้วันนี้รัฐบาลทหารและ คสช. จะควบคุมสถานการณ์ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ “กองหนุน” ก็ยังมีความสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะหาก “ทั่นผู้นำ” มุ่งมั่นจะมีอำนาจต่อหลังการเลือกตั้ง การออกมาของผู้นำ “องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน” และสาวกนกหวีดจึงไม่ใช่แค่กดดันให้จัดการกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ แต่ยังมีผลแห่งคดีของนายสุวิทย์ด้วย

ขณะที่ “ลุงกำนัน” ยังคงสงบนิ่ง เพราะมีข้อหากบฏร่วมกับนายสุวิทย์ ซึ่งล้วนเป็นเงื่อนไขทางการเมืองที่ลุ่มลึก เพราะเมื่อมี “ ยุทธการตลบมุ้ง” รวบตัวพระสุวิทย์ สถานการณ์ทางการเมืองจึงไม่มีอะไรแน่นอน

โดยเฉพาะชะตากรรมของนายสุวิทย์วันนี้ต้องยอมรับว่าหนักหนาสาหัสอย่างมาก โดยเฉพาะคดีปลอมแปลงพระปรมาภิไธย ซึ่งมีหลักฐานชัดเจน ไม่ว่าจะอ้าง “เจตนา” อย่างไรก็คือการปลอมแปลงที่เป็นความผิดสถานเดียว

ความรักความศรัทธาของลูกศิษย์และกลุ่ม กปปส. ที่มีต่อนายสุวิทย์จะมากอย่างไรก็ไม่อาจลบล้างความผิดที่กระทำได้ จากสถานะวันนั้นที่เคย “ห่มผ้าเหลือง” และประกาศตนเป็น “ราชสีห์แห่งแจ้งวัฒนะ”

แม้แต่ “กรวยจราจร” ยังเป็นดั่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ใครแตะต้องย่อมมีอันเป็นไป

แต่วันนี้กลับเป็นเพียงแค่ “กรวย” ที่ถูกยานพาหนะเฉี่ยวชนระเกะระกะอยู่บนท้องถนน

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมฉันใด.. ขึ้นชื่อว่า “ราชสีห์” ไม่ว่าจะทนทุกข์ทรมานเพียงใด เสียงร้องโอดโอยโหยหวนออกมาจึงมิควรเป็นท่วงทำนองเสียงสัตว์อื่น นอกจากเสียงราชสีห์ฉันนั้น!!??


You must be logged in to post a comment Login