วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2567

ขอดาบนั้นจงคืนสนอง / โดย บรรจง บินกาซัน

On February 13, 2017

คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

นับตั้งแต่มนุษย์มาอยู่บนโลกใบนี้ มีสงครามเกิดขึ้นมากครั้งจนนับไม่ถ้วน สงครามแต่ละครั้งจำเป็นต้องลงทุนด้วยทรัพย์สินและชีวิต หากรัฐที่ทำสงครามขาดแคลนงบประมาณในการจัดหาอาวุธยุทธภัณฑ์ ผู้ปกครองรัฐนั้นจำเป็นต้องกู้เงินมาทำสงคราม ในอดีตแหล่งเงินกู้รายใหญ่คือเศรษฐีที่สะสมความมั่งคั่งมาจากการกู้เงิน แต่การจะกู้เงินได้ต้องมีสัญญาผูกมัดที่เศรษฐีเจ้าของเงินแน่ใจว่าตัวเองต้องได้ดอกเบี้ยและไม่สูญเสียต้นทุน

เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองจะไม่สูญเสียเงินทุนของตนที่ให้รัฐใดกู้ไป เศรษฐีเงินกู้มักจะแอบให้รัฐที่เป็นคู่กรณีกู้เงินด้วยเพื่อใช้เป็นหลักประกัน

นอกจากจะให้เงินกู้แก่รัฐหรือผู้ปกครองที่ทำสงครามแล้ว นายทุนเงินกู้เหล่านี้ยังแอบจัดหาและขายอาวุธให้แก่ 2 ฝ่ายที่ทำสงครามด้วย

สรุปแล้วหลังสงคราม รัฐที่กู้เงินไม่ว่าจะแพ้หรือชนะต่างต้องชดใช้หนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยที่ล้วนมาจากภาษีของประชาชนแก่นายทุนเงินกู้

ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 มีสงครามระหว่างรัฐในยุโรปเกิดขึ้นหลายครั้ง ซึ่งทำให้รัฐต่างๆต้องกู้เงินจากเศรษฐีเงินกู้ที่เริ่มก่อตั้งธุรกิจของตนเป็นสถาบันการเงินหรือธนาคารแล้ว เราสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า ในตอนนั้นประเทศใหญ่ที่ทำสงครามไม่ว่าอังกฤษ เยอรมัน สเปน ฝรั่งเศส และอื่นๆ ล้วนเป็นหนี้นายทุนหรือสถาบันการเงินที่นายทุนเหล่านี้เป็นเจ้าของ

เมื่อสหรัฐอเมริกาเริ่มก่อตั้งประเทศ นายทุนเงินกู้ในประเทศต่างๆของยุโรปได้ขยายสาขาสถาบันการเงินของตนไปที่นั่นโดยนำพระราชบัญญัติธนาคารเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ ไปด้วย

เมื่อนายวูดโรว์ วิลสัน ผู้ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากนายธนาคารยุโรปได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา สิ่งแรกที่เขาทำทันทีหลังจากเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐก็คือ การลงนามพระราชบัญญัติ Federal Reserve Act 1912 ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติจัดตั้งธนาคารกลางของสหรัฐ แต่หารู้ไม่ว่าธนาคารกลางนี้มิได้เป็นของรัฐบาล หากแต่เป็นของกลุ่มนายทุนธนาคารจากยุโรป

นับแต่นั้นมาเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกลุ่มทุนธนาคารที่คุมธนาคารเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ ธนาคารแห่งนี้เป็นผู้กำหนดอัตราดอกเบี้ย พิมพ์ธนบัตรดอลลาร์ และที่สำคัญคือเป็นธนาคารที่เป็นแหล่งเงินกู้ของธนาคารเอกชนต่างๆและรัฐบาลสหรัฐด้วย

เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 เกิดขึ้น ชาติพันธมิตรยุโรปและชาติอักษะใช้อาวุธห้ำหั่นกัน สหรัฐอเมริกามั่งคั่งร่ำรวยจากการค้าอาวุธโดยได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากนายทุนธนาคาร หนึ่งในพ่อค้าอาวุธชาวอเมริกันที่ขายอาวุธสงครามให้เยอรมันก็คือ นายเพรสคอตต์ บุช ปู่ของนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช

เมื่อยุโรปเลิกรบ ความสงบเกิดขึ้นและสามารถผลิตอาวุธเองได้ สหรัฐอเมริกาจึงต้องหาตลาดขายอาวุธใหม่ แต่ตลาดจะเกิดขึ้นได้ต้องมีความขัดแย้ง ลัทธิคอมมิวนิสต์จึงถูกนำมาใช้เป็นปัจจัยสร้างความขัดแย้งและแตกแยกในเอเชีย เช่น เกาหลีและเวียดนาม เป็นต้น สงครามเวียดนามจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของสหรัฐ และรัฐบาลสหรัฐอเมริกายังเก็บภาษีใช้หนี้ธนาคารเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ ไม่หมด แถมยังเก็บภาษีได้น้อยลงด้วย เพราะโรงงานผลิตอาวุธต้องปลดคนงานออก ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องพลอยซบเซาไปด้วย

ปัจจุบันสหรัฐอเมริกาไม่สามารถปลุกผีคอมมิวนิสต์ให้ขึ้นมาหลอกหลอนสร้างความหวาดกลัวให้ชาวโลกหาทางใช้อาวุธปราบได้อีกต่อไปแล้ว สหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องหาผีตัวใหม่ขึ้นมาหลอกหลอนผู้คน อิสลามจึงถูกวาดเป็นผีตัวใหม่เพื่อให้ชาวโลกช่วยกันใช้อาวุธปราบ

ในตอนที่มีการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเมื่อเร็วๆนี้ มีผู้คาดการณ์ว่าหากนางฮิลลารี คลินตัน ชนะการเลือกตั้งจะเกิดสงครามโลก แต่ถ้านายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ชัยชนะ สงครามกลางเมืองจะเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา

สงครามเกิดขึ้นนอกสหรัฐอเมริกามานานแล้ว ศตวรรษที่ 21 นี้ขอให้สงครามกลางเมืองเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาบ้างเถิด เพื่อจะได้ตอบสนองนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผลิตอาวุธเองและใช้รบกันเอง เป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ


You must be logged in to post a comment Login