วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2567

อนาคตของโลกอยู่ในมือ‘ทรัมป์’? / โดย กิตติพิชญ์ ยิ่งวรการสุข

On November 21, 2016

คอลัมน์ : ฟังจากปาก
ผู้เขียน : กิตติพิชญ์ ยิ่งวรการสุข

อาจารย์วิบูลพงศ์ให้ความเห็นถึงผู้นำสหรัฐคนใหม่ว่า คนทั่วโลกค่อนข้างไม่สบายใจที่โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะ เพราะไม่เคยเป็นนักการเมือง ไม่ได้อยู่กับพรรคการเมือง ไม่รู้ว่าวิธีการและนโยบายของทรัมป์จะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะนโยบายหาเสียงที่สุดโต่งมาก เช่น สร้างกำแพงตลอดชายแดนเม็กซิโกโดยให้เม็กซิโกออกเงินทั้งหมด หรือจะออกจากองค์การนาโต้ ทำให้พันธมิตรของสหรัฐลำบากใจ ต้องรอดูว่าเมื่อเขาขึ้นเป็นประธานาธิบดีแล้วจะยังทำตามที่ประกาศหรือไม่ ตรงนี้เป็นสิ่งที่โลกยังไม่รู้

ในฐานะประธานาธิบดีที่มีอำนาจสูงมากยิ่งต้องมีความรอบคอบ ตอนนี้คนกลัวว่าทรัมป์นึกจะพูดอะไรก็พูดขึ้นมา แล้วไม่ค่อยเข้าใจการเมืองระหว่างประเทศนัก เมื่อเป็นประธานาธิบดีแล้วเขาต้องรู้ว่าคำพูดคำเดียวอาจทำให้หุ้นตกหรือหุ้นขึ้นก็ได้ อาจทำให้คนรู้สึกอย่างไรก็ได้ อันนี้ต้องระวัง การหาเสียงที่ผ่านมาเป็นลักษณะค่อนข้างเหยียดผิว เขาจะแคร์เฉพาะคนผิวขาวที่เป็นฐานเสียงเท่านั้น ที่ชนะก็มาจากฐานเสียงคนผิวขาว ขณะที่คนผิวสีหรือสัญชาติอื่นๆไม่ได้โหวตให้มากนัก ทรัมป์ได้คะแนนจากผู้ชายและผู้หญิงผิวขาวมากเป็นประวัติการณ์ ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมในลักษณะที่ว่าทรัมป์จะเป็นประธานาธิบดีของคนผิวขาว ทำให้เกิดการประท้วงขึ้นมากมายในหลายเมือง และทวีความรุนแรงลุกลามใหญ่โตจนตำรวจประกาศสถานการณ์จลาจล

มีการเขียนข้อความบนฝาผนังว่า คนอเมริกันเป็นคนผิวขาวเท่านั้น เด็กนักเรียนในโรงเรียนที่มีทั้งคนอเมริกันแท้และคนจากชาติอื่นๆพร้อมใจตะโกนว่าสงคราม ซึ่งเดิมคนอเมริกันก็ดูถูกคนชาติอื่นอยู่แล้ว เพราะไม่ใช่อเมริกันผิวขาว แต่ไม่กล้าแสดงออก เพราะระบบการเมือง ระบบสังคมไม่สนับสนุน เหตุการณ์ขณะนี้จึงเหมือนน้ำที่ร้อนแต่ฝาปิด ที่ผ่านมาในระยะหลายปีที่มันเงียบ อยู่ได้ เพราะฝามันปิดอยู่ พอทรัมป์มาก็มาเปิดฝา คนก็เริ่มมองว่ามันจริง ประธานาธิบดียังคิดเลย จึงเกิดความรู้สึกแบ่งแยกอย่างชัดเจนในอเมริกาขณะนี้ กลายเป็นยุคปี 60 สมัยมาร์ติน ลูเธอร์คิง อีกหรือเปล่า นี่คือสิ่งที่น่าเป็นห่วง

ถ้าอเมริกาเกิดปัญหาตรงนี้จะกระทบต่อนโยบายต่างประเทศ เพราะทรัมป์บอกว่าเขาจะยุ่งแต่ภายในประเทศคืออเมริกา Great a Great ถ้าอเมริกา Great แป๊บเดียว เขาก็มีเวลาไปดูที่อื่นได้ แต่กลัวอเมริกาจะไม่ Great และใช้เวลามากกว่าจนไม่มีเวลาดูที่อื่น ก็จะเปิดโอกาสให้ประเทศอื่นๆที่เป็นมหาอำนาจ เช่น จีนและรัสเซีย กระทำการบางอย่างโดยไม่มีอเมริกาคอยต้าน ซึ่งปัจจุบันมันคานอำนาจกันอยู่

ทรัมป์บอกว่าจะดึงทหารอเมริกันกลับประเทศหมด ไม่เอาทหารไปไว้ที่โน่นที่นี่แล้ว เช่น ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น ก็ต้องช่วยเหลือตัวเอง ประเทศต่างๆก็ต้องแก้ไขปัญหาภายในประเทศตัวเองก่อนถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าอเมริกาไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับปัญหาของโลกเลย ตรงนี้ผมว่าน่าเป็นห่วง ถ้าไม่มีความสมดุลของโลก รัสเซียและจีนจะได้ประโยชน์อย่างแน่นอน รัสเซียกับจีนพอใจอยู่แล้วที่อเมริกาจะไม่มายุ่งกับโลก หรือเจรจาอย่างนักธุรกิจ

ถ้าทรัมป์ไม่อยากจะยุ่งกับเอเชียอย่างบารัค โอบามา จีนยิ่งแฮปปี้ใหญ่ แต่ก็เชื่อว่าอเมริกายังต้องดูแลเอเชีย เพราะเป็นผลประโยชน์ของอเมริกา ซึ่งฮิลลารี คลินตัน จะให้ความสำคัญกับเอเชีย เพราะมองว่าเอเชียเป็นตัวแปรของศตวรรษหน้า

ดังนั้น ถ้าทรัมป์ถอนทหารออกจากฟิลิปปินส์ จากโอกินาวา ก็จะเปิดช่องว่างให้จีนก้าวร้าวมากยิ่งขึ้น ประเทศเล็กๆอย่างไทยก็ต่อรองกับจีนยากขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่เป็นศัตรูกับจีน เช่น มาเลเซีย บรูไน เวียดนาม แม้กระทั่งฟิลิปปินส์ก็ต้องเอาตัวรอดอย่างที่เลือกผูกมิตรกับจีน ผมว่ามันจะกระทบไปทั้งโลก เพราะยุโรปปัจจุบันคุมรัสเซียไม่ให้เกเรได้ก็เพราะอเมริกาเป็นหัวหอกในนาโต้ ถ้าหัวหอกไม่มี ลูกน้องก็ระส่ำระสาย ประเทศในยุโรปจะต่อกรกับรัสเซียก็ลำบาก จะทำให้รัสเซียแผ่อิทธิพลเข้าไปในยุโรปได้ ถ้าทรัมป์มองว่าไม่เป็นไร ไม่เกี่ยวกับอเมริกา อย่ามายุ่งกับอเมริกาก็แล้วกัน จะกลายเป็นว่ารัสเซียจะทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ อเมริกาภายในยุคของทรัมป์จะไม่ได้เป็นตำรวจโลกเหมือนในอดีตหากเป็นไปอย่างที่หาเสียงไว้

จะนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3

ก่อนเลือกตั้งผมเคยเป็นห่วงว่าถ้าทรัมป์ชนะอาจจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนนี้ผมก็ย้ำเหมือนเดิมว่าอาจจะนำไปถึงสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ เหตุผลคือ อาจจะเกิดความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจโดยตรง เช่น ทรัมป์เปิดสงครามการค้ากับจีน หรือจะเป็นลักษณะสงครามตัวแทน เพราะทรัมป์มองอะไรง่ายๆ ไม่ลึกซึ้ง เช่น จะตกลงกับรัสเซียในปัญหาตะวันออกกลาง ทั้งที่ปัญหามันลึกซึ้งมาก ในขณะที่อเมริกาต้องสนับสนุนอิสราเอล รัสเซียก็สนับสนุนฝ่ายตรงข้าม โดยประธานาธิบดีซีเรียก็มีผลประโยชน์กับฝ่ายรัสเซีย ไม่ใช่อยู่ดีๆจะร่วมมือกันโจมตีไอซิส ซึ่งวัตถุประสงค์ของอเมริกากับรัสเซียไม่ได้สอดคล้องกัน อเมริกาต้องการทำลายไอซิส รัสเซียต้องการทำลายไอซิสหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆคือรัสเซียไม่ต้องการให้อัสซาดพ้นจากอำนาจ เพราะเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของรัสเซีย แต่อเมริกาต้องการให้อัสซาดออกไป

ที่ผมบอกว่าอาจจะนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 เพราะอเมริกาบอกว่าไม่เห็นด้วยกับนโยบายการเจรจาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน สมมุติเกิดอิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และใช้อาวุธนิวเคลียร์ในสงครามเล็กๆ รวมทั้งเกาหลีเหนือ ความขัดแย้งที่รุนแรงจนมหาอำนาจต้องเข้าข้างฝ่ายที่ตนเองสนับสนุนก็อาจนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ แต่ถ้าเป็นคลินตันจะไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอน เพราะคลินตันมองสถานการณ์ลึกกว่านั้น ผมจึงมองว่าหากทรัมป์ปล่อยปละละเลยและไม่มีความรู้เรื่องการเมืองระหว่างประเทศจะทำให้เขาพลาดจนถึงจุดที่เลวร้าย อย่างการใช้อาวุธนิวเคลียร์ถล่มไอซิส คราวนี้การใช้อาวุธนิวเคลียร์ก็หยุดไม่ได้ อาจขยายวงกว้างออกไป จนในที่สุดจะดึงมหาอำนาจเข้ามา และถ้าอเมริกาทนไม่ได้ หรือไปทำลายพันธมิตรของอเมริกา ก็ต้องมีการตอบโต้จนอาจลุกลามเป็นสงครามนิวเคลียร์หรือสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้

จริงๆผมไม่ได้พูดเอง แต่ดึงจากที่คลินตันพูดหาเสียงและวิเคราะห์อย่างนั้น อนาคตของโลกจึงอยู่ในกำมือของทรัมป์ คือโลกก็ไม่มั่นใจว่าทรัมป์จะมีวุฒิภาวะอย่างไร คนเราต้องมีวุฒิภาวะในความเป็นผู้นำ แต่ทรัมป์ไม่ใช่ เขาอาศัยการหาเสียงแบบเหยียดผิว ทำให้คนที่ด้อยการศึกษาในอเมริกาเลือกเขาขึ้นมา ซึ่งคนเหล่านั้นไม่สนใจโลก ไม่เคยเจออาวุธนิวเคลียร์มาก่อน เพราะอเมริกามีแต่ไปทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ประเทศอื่น ตัวเองไม่เคยโดน เพราะฉะนั้นเขาไม่สนว่าประเทศอื่นจะใช้นิวเคลียร์ เขาคิดแต่ทวีปอเมริกาอยู่ได้ ตรงนี้จึงทำให้ทรัมป์ชนะ และทรัมป์ก็ต้องตอบสนองคนที่เลือกเขาขึ้นมา

ผมขอบอกว่า เราไม่มีทางจะยับยั้งทรัมป์ได้ มีแต่ต้องดูว่าเขาจะเปลี่ยนไปมั้ย จะหยุดความห่าม ความเป็นนักเลงของผู้สนับสนุนมั้ย เขาเป็นคนเดียวที่หยุดได้ คนอื่นหยุดไม่ได้ ถ้าเขาบอกว่าต่อไปต้องไม่เหยียดผิว ต้องยอมรับความต่าง คนก็จะเชื่อเขา แต่ผมคิดว่าเขาไม่ทำผิด เพราะเขาเป็นคนอย่างนั้นอยู่แล้ว ยิ่งทำให้คนฮึกเหิม ผมก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไร แต่ที่แน่นอนตรงนี้จะทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งในอเมริการุนแรงอย่างแน่นอน เพราะขณะนี้ยังมีการเดินขบวนประท้วงอยู่ แต่ผมก็หวังว่าเมื่อทรัมป์ขึ้นเป็นประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการน่าจะมีวุฒิภาวะมากขึ้น

ความสัมพันธ์สหรัฐกับไทย

ทรัมป์ไม่ค่อยรู้จักประเทศไทยเท่าไร เขาไม่ค่อยจะมีความแค้นอะไรกับไทย เพราะไทยไม่ได้ทำอะไรให้เขาต้องเสียหาย ฟังดูก็ตลกดี ดังนั้น ผลกระทบกับไทยไม่น่าเป็นห่วง ในฐานะที่ทรัมป์เป็นคนที่ไม่สนใจเรื่องการค้า เราอาจค้าขายกับอเมริกาได้น้อยลง เพราะเขาค่อนข้างจะปิดประเทศ แต่ในแง่การทหารไม่น่าจะมีผลกระทบ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลอเมริกาจึงไม่น่าจะมีปัญหา เพราะเขาจะไม่เข้ามาจุกจิกว่าไทยต้องเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยอย่างโน้นอย่างนี้ เรื่องสิทธิมนุษยชน เรื่องแรงงานเด็ก ภาวะสิ่งแวดล้อม ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เขาจะไม่สนใจ ตรงนี้จะเป็นประโยชน์กับไทยที่จะปรับปรุงอะไรไปโดยไม่ถูกลงโทษอย่างเทียร์ 1 เทียร์ 2 เทียร์ 3 แต่ยุคของทรัมป์คงไม่ถึงกับทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น

อย่างที่บอกว่าเราเล็กเกินไปในสายตาของทรัมป์ เราก็ไม่มีอะไรที่เขาต้องคิดบัญชี แต่อย่าลืมว่าประเทศไทยต้องอยู่ในโลก ต้องอาศัยระบบของโลก เพราะฉะนั้นเราจะมีความกดดันจากรอบๆบ้าน จากโลก ทั้งตลาดหุ้นหรือเศรษฐกิจ

สมมุติว่าเราส่งสินค้าไปอเมริกาน้อยลง แต่เราอาจไปลงทุนในอเมริกามากขึ้น ทำให้คนอเมริกันมีงานทำมากขึ้น ก็จะเป็นที่ชอบใจของทรัมป์ เขาจะตั้งข้อจุกจิกกับเราน้อยลง ไม่ตัดจีเอสพีมากมาย อันนี้อาจเป็นไปได้ ทำให้เราคล่องตัวขึ้น แต่ถ้าทรัมป์ไม่แคร์กับโลกก็จะส่งผลกระทบถึงเศรษฐกิจโลก อย่างความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (TPP) 12 ประเทศที่ไทยไม่ได้อยู่ด้วย ถ้าทรัมป์ยกเลิกหมด เวียดนามก็จะกลับมาเสียเปรียบเราเหมือนเดิม นี่คือข้อดี

ในแง่การทหารซึ่งไทยอยากซื้ออาวุธจากอเมริกาก็คงไม่มีข้อขัดข้องอะไร เพราะอเมริกาชอบขายอาวุธอยู่แล้ว ทหารไทยน่าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทหารอเมริกันต่อไป โดยหลักๆจึงไม่น่ามีข้อขัดแย้งกับอเมริกา ความสัมพันธ์น่าจะดีขึ้นกว่ายุคโอบามาด้วย

สถานะของรัฐบาลทหาร

ผมว่าเขาไม่สนใจ คุณจะเป็นอะไรก็ได้ เขาคงไม่ได้สนใจในแง่ของประชาธิปไตย เรื่องสิทธิมนุษยชนนัก เพราะฉะนั้นจะเปิดโอกาสให้หลายประเทศในโลกสามารถทำอะไรได้ตามความต้องการของตัวเองมากขึ้นโดยไม่มีอเมริกาคอยคุม ฟิลิปปินส์อาจดีใจ เพราะประธานาธิบดีฟิลิปปินส์จะฆ่าคนไปเรื่อยๆก็เรื่องของเขา นโยบายของทรัมป์จะมุ่งที่อเมริกามากกว่า เขาจะให้ความสนใจต่อโลกลดน้อยลง อย่างที่ผมพูดในตอนต้นว่า ไทยไม่ได้อยู่ในเรดาร์ความสนใจของเขาเลย ความสนใจของเขาอยู่ที่ตะวันออกกลาง คือทำอย่างไรถึงจะปราบไอซิสได้ ปัญหาในยุโรปที่มีพันธมิตรของเขาอยู่ เพราะฉะนั้นเอเชียจะถูกลดความสำคัญลงไป

ตรงนี้จะมองเป็นข้อดีก็ได้ ข้อเสียก็ได้ ถ้ามองเป็นข้อดีก็คือ อเมริกาไม่เข้ามายุ่งเท่าไร ข้อเสียคือถ้าเราเกิดเสียเปรียบประเทศมหาอำนาจอื่นเช่นจีน เราก็จะไม่มีตัวต่อรอง เพราะไม่มีอเมริกามาช่วยต่อรอง เราต้องเดินนโยบายต่างประเทศที่เป็นมิตรต่อประเทศมหาอำนาจอื่นๆให้ดีขึ้น เป็นมิตรแต่ไม่เสียเปรียบมาก ไม่รู้จะทำได้หรือเปล่า ถ้าทำได้ก็อาจจะรอดตัวไป

ส่วนที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าทรัมป์จะทำให้ประเทศไทยกลับมาเป็นเสือของเอเชียนั้น ผมคิดว่ายังเร็วเกินไปที่จะพูดตรงนั้น เพราะจริงๆไทยติดอยู่ตรงกลาง คือเราไม่สามารถพัฒนาคนของเราให้มีความสามารถในการผลิตสินค้าระดับสูงขึ้นไปได้ ขณะที่ระดับกลางเราก็ถูกประเทศด้อยพัฒนาแย่ง เพราะค่าแรงเราสูงกว่า เราต้องหลุดพ้นตรงนี้ให้ได้และพัฒนาถึงระดับไอทีคอมพิวเตอร์ ตรงนั้นจึงจะมีโอกาสเป็นเสือเอเชียได้ แต่ถ้าไม่สามารถไปถึงตรงนั้นได้ เราก็อาจจะถูกประเทศตามหลังไล่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ ขณะที่เรายังหนีเขาไปได้ไม่ไกลนัก เรื่องนี้ต้องอยู่ที่นโยบายภายในของเราว่าจะถือโอกาสช่วงนี้ทำอะไร จะพัฒนาประเทศได้อย่างเต็มที่หรือไม่ อันหนึ่งที่ผมคิดว่าทำดีคือ การพัฒนาโครงสร้างโลจิสติกส์ต่างๆ เช่น การสร้างทางรถไฟ สร้างทางอะไรก็ตาม ซึ่งไม่ได้มีการพัฒนามาหลายสิบปีมากเพราะติดปัญหาการเมือง

“ทรัมป์” กับจีนและรัสเซียเป็นอย่างไร

ผมคิดว่าระหว่างอเมริกากับจีน บางมีผลประโยชน์ก็ขัดแย้งกันในภูมิภาคเอเชีย เราต้องสามารถจัดการเรื่องผลประโยชน์ให้ได้ ถ้าทำได้ผมคิดว่าโอเคนะ สรุปผมยืนยันว่าทรัมป์เป็นอันตรายต่อโลกมากกว่าเป็นอันตรายกับไทย


You must be logged in to post a comment Login