วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2567

สค.ผนึก มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล-สสส. เผยสถานการณ์ความรุนแรงต่อเด็กและสตรียังน่าห่วง

On November 18, 2020

Q1

กรมกิจการสตรีฯ ผนึก มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล สสส. เผยสถานการณ์ความรุนแรงต่อเด็กและสตรียังน่าห่วง ช่วงโควิด-19 ยิ่งรุนแรง เหตุรายได้หด-เหล้ายากระตุ้น เสนอ 4 ชุมชนโมเดล หวังสร้างพื้นที่ปลอดภัยทางสังคม ผ่านคู่มือ “การทำงานพื้นที่ชุมชนปลอดภัยสำหรับสตรีและเด็ก”

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2563 ที่ เดอะฮอลล์ กรุงเทพ กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว(สค.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) ร่วมกับ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) จัดกิจกรรมเนื่องในเดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี พร้อมเปิดตัวหนังสือคู่มือ “คู่มือการสร้างและพัฒนาพื้นที่ปลอดภัยทางสังคมโดยชุมชน”

Q2

นางสาวกรรณนิกา เจริญลักษณ์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ พม. กล่าวว่า  จากข้อมูลของศูนย์ปฏิบัติการสถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัว สค. พบว่าสถิติของผู้กระทำความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัวในช่วงเดือน ต.ค.2562 – เม.ย. 2563 มี 141 ราย แบ่งออกเป็นความรุนแรงทางร่างกาย ร้อยละ 87 ทางเพศ ร้อยละ 9 และทางจิตใจ ร้อยละ 4 ส่วนปัจจัยกระตุ้น ได้แก่ ยาเสพติด ร้อยละ 35 บันดาลโทสะ ร้อยละ 33 หึงหวง ร้อยละ 25 สุรา ร้อยละ 17 เท่ากับการล่วงละเมิดทางเพศ ร้อยละ 17 อาการจิตเภท ร้อยละ 9 และจากเกม ร้อยละ 2 ส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ภาคกลาง อีสาน ใต้ เหนือ และ กทม. ตามลำดับ ส่วนสถิติความรุนแรงในครอบครัว ตั้งแต่ปี 2559 – ถึงเมษายน 2563 พบว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นคิดเป็น 1,400 ราย/ปี หรือ 118 ราย/เดือน เฉลี่ย 4 ราย/วัน

Q3
“สค. ดำเนินการพัฒนาศักยภาพ สนับสนุนหน่วยงานภาคีเครือข่ายทั้งในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาคและมีศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชน (ศพค.) เป็นกลไกขับเคลื่อนงานในระดับพื้นที่ ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 7,149 แห่ง เพื่อให้การทำงานของภาคีเครือข่ายง่ายขึ้น สค.และสสส.ร่วมกับมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล จัดทำคู่มือนี้ขึ้น มีเนื้อหาและรูปแบบที่ทุกภาคส่วนนำไปปรับใช้ตามบริบทของพื้นที่ โดยใช้เป็นแนวทางดำเนินงานในพื้นที่ได้ ที่สำคัญหน่วยงานรัฐสามารถดูได้ว่าสิ่งใดที่ต้องดำเนินการเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนเครือข่าย ในส่วนชุมชนก็สามารถประเมินตนเองได้ว่าชุมชนของตนเองมีอะไร ยังขาดอะไร และต้องดำเนินการอย่างไร” นางสาวกรรณิกา กล่าว

นางภรณี  ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สสส. กล่าวว่า ประเทศไทยมีสถิติความรุนแรงต่อผู้หญิงสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก จากรายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC :United Nations Office on Drugs and Crime)  พบว่ากว่า ร้อยละ 87 ของคดีการล่วงละเมิดทางเพศไม่เคยถูกรายงาน เพื่อหาผู้กระทำผิด หรือให้ทางการรับรู้ โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 พบว่า ความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 66 ภาคใต้ มีความรุนแรงในครอบครัวถึงร้อยละ 48.1 และกรุงเทพฯ พบความรุนแรงในครอบครัว น้อยที่สุด ร้อยละ 26 ซึ่งปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความรุนแรงในครอบครัว ได้แก่ รายได้ของครอบครัว และการใช้สารเสพติด เช่น สุรา บุหรี่ ในการแก้ปัญหาสสส. สนับสนุนโครงการพัฒนาและยกระดับกลไกชุมชนและทีมสหวิชาชีพในการสร้างพื้นที่ปลอดภัยทางสังคม ผ่านมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ในการคุ้มครองสวัสดิภาพบุคคลในครอบครัว เพื่อพัฒนากลไกการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในพื้นที่นำร่อง 4 ชุมชน จนเกิดรูปแบบการทำงานในการคุ้มครองสวัสดิภาพบุคคลในครอบครัวโดยการเชื่อมร้อยกลไกระดับพื้นที่ให้มีคณะทำงานในการทำงานอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งกลไกระดับชุมชน ระดับเครือข่ายชุมชนขยาย และระดับภาคีเครือข่ายภาครัฐ และเกิดนโยบายระดับพื้นที่ในการคุ้มครองสวัสดิภาพบุคคลในครอบครัว

Q4

นางสาวอังคณา  อินทสา หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า สถานการณ์ความรุนแรงต่อเด็กสตรีและครอบครัว ยังคงน่าห่วง มูลนิธิฯร่วมกับ สสส.และ สค.จัดทำหนังสือ “คู่มือการสร้างและพัฒนาพื้นที่ปลอดภัยทางสังคมโดยชุมชน” ซึ่งเป็นหนังสือที่จะถ่ายทอดบทเรียนการทำงานของแกนนำชุมชน 3 รูปแบบ ในพื้นที่ชุมชนเมือง คือ ชุมชนวัดสวัสดิ์วารีสีมาราม เขตดุสิต ชุมชนซอยพระเจน เขตปทุมวัน และชุมชนวัดโพธิ์เรียง เขตบางกอกน้อย กทม. พื้นที่ชุมชนชนบท คือ ชุมชนบ้านคำกลาง ต.โนนหนามแท่ง อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ และพื้นที่แรงงานอุตสาหกรรม คือ สมาคมส่งเสริมสิทธิชุมชนเพื่อการพัฒนา(ไทยเกรียง) หวังว่า คู่มือฉบับนี้จะทำให้ผู้ปฏิบัติงานในชุมชน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน นำไปประยุกต์ใช้สร้างพื้นที่ปลอดภัยทางสังคม เพื่อร่วมกันยุติความรุนแรงต่อเด็กผู้หญิงและครอบครัว

“เนื้อหาคู่มือเล่มนี้ มีความน่าสนใจเพราะเป็นคู่มือที่ถอดบทเรียนจากกระบวนการทำงานของมูลนิธิฯร่วมกับแกนนำเครือข่าย ภายในคู่มือประกอบด้วยเนื้อหา เช่น กระบวนการทำงานคุ้มครองทางสังคมต้องทำอย่างไร แกนนำชุมชนต้องมีทักษะหรือเทคนิคการทำงานคุ้มครองสวัสดิภาพบุคคลในครอบครัวอย่างไรบ้าง รวมถึงความรู้ที่เกี่ยวข้องในการทำงานต้องมีความรู้ด้านใด และตัวชี้วัดกระบวนการคุ้มครองทางสังคมมีเกณฑ์อะไรบ้าง ทั้งนี้ มูลนิธิฯคิดว่าจะมีการพัฒนาคู่มือดังกล่าวเป็น “หลักสูตร” การทำงานสำหรับชุมชนในปี 2564  เพื่อให้ชุมชนนำร่องได้มีการยกระดับการทำงานถ่ายทอดบทเรียนไปสู่ชุมชนที่สนใจต่อไป และสค.สามารถนำหลักสูตรดังกล่าวไปขยายสู่ผู้ปฏิบัติงานในชุมชน และขยายไปสู่หน่วยงานภาครัฐอื่นๆ เช่น กรุงเทพมหานคร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อปรับใช้ในการสร้างและพัฒนาพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้หญิง ซึ่งที่ผ่านมาชุมชนนำร่องเหล่านี้ได้พัฒนาบทเรียนการทำงานจากประสบการณ์จริงมาโดยตลอด จนสามารถพัฒนาเป็นชุนชนต้นแบบในการลดปัญหาความรุนแรงต่อเด็ก สตรีและครอบครัวได้ และหลายหน่วยงานเข้ามาเรียนรู้ดูงานพร้อมแลกเปลี่ยนการทำงานกับแกนนำได้จริง” นางสาวอังคณา กล่าว

Q5

นางนัยนา ยลจอหอ  ผู้แทนชุมชนวัดสวัสดิ์วารีสีมาราม เขตดุสิต กล่าวว่า แนวทางการทำงานของเครือข่ายชุมชนวัดสวัสดิ์ฯ จะเก็บรวบรวมข้อมูลจากเคสความรุนแรง เพื่อหาสาเหตุและกำหนดเป้าหมาย ซึ่งขณะนี้กำลังขยายพื้นที่จาก 42 ชุมชนในเขตดุสิตไปยังชุมชนอื่นในเขตกรุงเทพฯ โดยเริ่มจากการเชิญคณะกรรมการของแต่ละชุมชน เข้าอบรมทำความเข้าใจ เมื่อเกิดเหตุขึ้น จะได้หาแนวทางป้องกันและแก้ไขได้อย่างถูกต้องทันท่วงที ซึ่งเครือข่ายชุมชนวัดสวัสดิ์ฯพร้อมเป็นแกนกลางให้ชุมชนอื่นประสานความช่วยเหลือ สำหรับการต่อยอดการทำงานให้ยั่งยืน บูรณาการงานทั้งหมดที่มีอยู่ในชุมชนเข้าด้วยกัน เช่น การทำเกษตรพื้นที่แคบ และการฝึกทักษะอาชีพเข้ามาเยียวยาจิตใจผู้ถูกกระทำ เป็นต้น

“ปัญหาและอุปสรรคของการทำงานส่วนใหญ่ เกิดจากความแตกต่างของคนที่เข้ามาทำงานด้านจิตอาสา เราใช้วิธีแก้ไขด้วยการประชุมวางแผนให้ทุกคนมีส่วนร่วมอย่างเสมอภาค สำหรับ “คู่มือการทำงานพื้นที่ชุมชนปลอดภัยสำหรับสตรีและเด็ก” ที่มูลนิธิฯได้ผลิตเพื่อแจกจ่ายให้เครือข่าย เป็นคู่มือที่มีความจำเป็นช่วยสะท้อนการทำงานที่ผ่านมา สามารถย้อนกลับไปดูวิธีปฏิบัติเพื่อหาแนวทางพัฒนาให้ยั่งยืนต่อไป อย่างไรก็ตามเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ถูกกระทำความรุนแรง อยากให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ไม่ปล่อยปะละเลย ที่สำคัญก่อนออก พ.ร.บ.คุ้มครองต่างๆต้องดูบริบทของปัญหาของเด็กและสตรีด้วย ในส่วนของงบอุดหนุนช่วยเหลือการทำงานด้านนี้ชุมชนหลายแห่งใน 50เขตของกรุงเทพฯ ยังขาดงบประมาณสนับสนุน จึงอยากให้ กทม. พิจารณาเรื่องนี้ด้วย” นางนัยนา กล่าว


You must be logged in to post a comment Login