วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2567

ศาสนายังมีลมหายใจอยู่

On October 9, 2020

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 9-16 ต.ค. 2563)

เมื่อยุโรปเข้าสู่ยุคทันสมัยเพราะความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์หลังยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ปัญญาชนคนรุ่นใหม่เริ่มมองว่าคำสอนทางศาสนาเป็นสิ่งล้าสมัยและหันไปใช้ชีวิตตามกระแสความเจริญทางวัตถุสมัยใหม่ โบสถ์ในประเทศที่เจริญก้าวหน้าทางตะวันตกจึงมีคนเข้าน้อยลง โบสถ์กลายเป็นสถานที่สำหรับคนแก่ที่มาเตรียมตัวเดินทางไปสู่โลกหลังความตาย หรือเพื่อทำพิธีกรรมทางศาสนาบางอย่าง เช่น พิธีแต่งงาน พิธีสวดศพ เป็นต้น

เมื่อชาติตะวันตกออกล่าอาณานิคมและยึดครองประเทศมุสลิมในทวีปต่างๆ ชาติตะวันตกเห็นว่ามุสลิมในประเทศที่ตัวเองไปยึดครองยังคงปฏิบัติศาสนกิจสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในวันศุกร์ที่ชาวมุสลิมจะไปชุมนุมกันละหมาดที่มัสยิดอย่างเนืองแน่นและนั่งฟังปาฐกถาธรรมอย่างเงียบกริบ ผิดกับโบสถ์ในยุโรปที่วันอาทิตย์มีผู้คนเข้าน้อยลง

แนวโน้มที่ต่างกันเช่นนี้เป็นเพราะว่าการละหมาดประจำวันเป็นข้อบังคับในอิสลาม เป็นการยืนยันและการต่อสัญญาความศรัทธากับพระเจ้า ใครไม่ทำถือเป็นบาป ผิดกับในศาสนาคริสต์ที่ถือว่าการเข้าโบสถ์สวดมนต์ไม่เป็นข้อบังคับทางศาสนา ยิ่งหลังจากการปฏิวัติในฝรั่งเศสที่คำว่า “สิทธิเสรีภาพ” เบ่งบานเต็มที่ การปฏิบัติศาสนกิจจึงถือเป็นเรื่อง “สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล”

อิสลามในสายตาของชาตินักล่าอาณานิคมชาวตะวันตกจึงเป็นเหมือนพลังที่รวมประชาชาติมุสลิมให้เป็นหนึ่งเดียว และจะกลายเป็นพลังต่อต้านการรุกรานของชาติตะวันตก ซึ่งชาติตะวันตกได้เห็นแล้วในบางประเทศของแอฟริกา เช่น ลิเบีย ซูดาน เป็นต้น

การล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกไม่เพียงแต่ใช้กำลังทหารเข้ายึดครองเท่านั้น แต่ชาติตะวันตกยังพยายามทำลายความเชื่อในพระเจ้าที่เป็นแก่นธรรมคำสอนของอิสลาม หาทางเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม วิถีชีวิตและอัตลักษณ์ของคนในชาติที่ถูกยึดครอง เพื่อให้ชาติเหล่านี้มีวิถีชีวิตแบบตะวันตกและเป็นตลาดของตนในวันข้างหน้าด้วย ดังนั้น วัฒนธรรมตะวันตกจึงถูกส่งเข้ามาในชาติอาณานิคม

หนึ่งในความพยายามทำลายความเชื่อสำคัญทางศาสนาก็คือการให้นักวิชาการของตนอธิบายปาฏิหาริย์หรือความมหัศจรรย์ของพระเจ้าไปในทางวิทยาศาสตร์ เช่น ทะเลแดงไม่ได้แยกเพราะอำนาจของพระเจ้าที่ประทานแก่โมเสส แต่โมเสสรู้ว่าน้ำทะเลจะลดลงเมื่อใดและที่ไหน เป็นต้น การตีความเช่นนี้ถือว่าเป็นการลบหลู่ดูถูกอำนาจของพระเจ้าในสายตาของมุสลิม

khilafah1

ประเทศมุสลิมที่ตกอยู่ใต้อาณานิคมของตะวันตกได้รับความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุก็จริงอยู่ แต่หลังจากนั้นไม่นานความตกต่ำทางศีลธรรมก็ตามเข้ามาจนผู้คนที่ยึดมั่นในศาสนาและประเพณีดั้งเดิมลุกขึ้นมาต่อต้านภายใต้การนำของผู้นำทางจิตวิญญาณ

ในอินเดีย มหาตมะ คานธี ต่อสู้ทางวัฒนธรรมด้วยการเลิกแต่งกายแบบอังกฤษและรณรงค์ให้ชาวอินเดียรักษาเอกลักษณ์การแต่งกายแบบอินเดียไว้ เมื่อชาวอินเดียสนับสนุน โรงงานผลิตผ้าขนสัตว์สำหรับตัดชุดสูทในอังกฤษก็สั่นสะเทือน

ในอิหร่าน ผู้นำทางศาสนาประกาศว่าการสูบบุหรี่หรือยาเส้นเป็นที่ต้องห้ามทางศาสนา เมื่อผู้คนปฏิบัติตามผู้นำ การนำเข้าและกิจการใบยาสูบของอังกฤษก็สูญเสียผลประโยชน์มากมาย

ในอียิปต์ ขบวนการที่มีชื่อว่า “อัลอิควาน อัลมุลิมูน” (ภราดรภาพมุสลิม) เริ่มก่อตัวขึ้นโดยฮะซัน อัลบันนา นักศึกษาวิทยาลัยครู เพื่อเรียกร้องให้ชาวอียิปต์หันกลับมาดำเนินชีวิตตามคำสอนของอิสลามและได้รับการสนับสนุนอย่างมากมายจากชาวอียิปต์ เขาจึงถูกปลิดชีวิตเพื่อขัดขวางกระแสอิสลาม

ในอินโดนีเซีย ผู้นำทางศาสนาอิสลามและผู้นำทางการเมืองได้รวมตัวกันต่อต้านการรุกรานของฮอลันดาทั้งทางทหารและวัฒนธรรม มีการรณรงค์ให้ชาวอินโดนีเซียรักษาเอกลักษณ์การแต่งกายแบบอินโดนีเซียไว้ การต่อสู้ทางวัฒนธรรมในเวลานั้นเป็นไปอย่างเข้มข้นถึงขนาดหากใครใส่กางเกงขายาวแทนโสร่งจะถูกคนในสังคมตราหน้าว่าเป็น “นัศรอนีย์” หรือชาวตะวันตกที่นับถือศาสนาคริสต์

ก่อนหน้านี้ลัทธิโลกานิยม (Secularism) เกิดจากแนวความคิดที่แยกตัวออกมาจากคำสอนของศาสนา และต่อมาลัทธินี้ได้นำไปสู่การเกิดลัทธิคอมมิวนิสต์และลัทธิเสรีนิยม ซึ่งเป็นเหมือนสองด้านของเหรียญโลกานิยม ปัจจุบันลัทธิคอมมิวนิสต์ได้ล่มสลายไปแล้ว และลัทธิเสรีนิยมที่ไร้ขอบเขตกำลังจะกลายเป็นลัทธิอนาธิปไตย (Anarchism) ที่สร้างความวุ่นวาย ในขณะที่ผู้คนกำลังมองหาความหวังจากศาสนา

 


You must be logged in to post a comment Login