วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2567

การเมืองหลังตลาดวาย

On November 28, 2018

คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 28 พ.ย.2561)

หลังปิดตลาดโยกย้ายสรุปยอดแต่ละพรรคทำให้พอมองเห็นภาพการเมืองเด่นชัดขึ้น เมื่อดูจากจำนวนที่แต่ละพรรคเสียอดีต ส.ส. และได้อดีต ส.ส. เข้าสังกัด ความน่าจะเป็นว่าหลังเลือกตั้งพรรคพลังประชารัฐน่าจะได้ ส.ส. ระดับ 70+- ตัวเลขขนาดนี้เมื่อนำไปรวมกับพรรคพันธมิตรก็น่าจะทำให้เป้าหมายในการยึดครองอำนาจรัฐอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม อย่างไรก็ตาม ไม่ควรประมาทพรรคประชาธิปัตย์ที่มีแบรนด์แข็งแกร่งและไม่เสียตัวหลักออกจากพรรคเลย ขณะที่พรรคเพื่อไทยกับพรรคเครือข่ายหักกลบลบหนี้แล้วมีแต่จะได้ ส.ส. น้อยกว่าเดิม ที่นั่งยิ้มกลับเป็นพรรคภูมิใจไทยและพรรคชาติไทยพัฒนา เพราะจะมีอำนาจต่อรองสูง เนื่องจากเข้าข้างไหนข้างนั้นก็ตั้งรัฐบาลได้ ถึงมี ส.ส. ในมือไม่มาก แต่โอกาสได้คุมกระทรวงใหญ่เกรดเอมีสูง

ปิดตลาดไปเรียบร้อยสำหรับการเมืองไทย ที่คึกคักที่สุดหนีไม่พ้นพรรคพลังประชารัฐที่มีอดีต ส.ส. และอดีต ส.ว. ตบเท้าย้ายเข้าสังกัดรวมแล้ว 84 คน

เมื่อดูจากชื่อชั้นของคนที่ย้ายมาร่วมสังกัด และประเมินจากคะแนนรวมที่จะได้จากการเลือกตั้งที่จะใช้คำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐน่าจะได้ ส.ส. ระดับ 70+-

ตัวเลขขนาดนี้เมื่อนำไปรวมกับพรรคพันธมิตรที่พร้อมร่วมมือจัดตั้งรัฐบาลก็น่าจะทำให้เป้าหมายในการยึดครองอำนาจรัฐอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

ขณะที่พรรคคู่แข่งสำคัญอย่างพรรคเพื่อไทยมีอดีต ส.ส. ไหลออกไปอยู่พรรคการเมืองต่างๆกว่า 80 ชีวิต ทำให้คาดการณ์ได้ว่าหลังเลือกตั้งคงได้จำนวน ส.ส. ในระดับ 120+-

ส่วนพรรคในเครือข่ายที่ตั้งใจว่าจะกลับมารวมร่างกันหลังเลือกตั้งนั้นน่าจะทำให้ยอดรวม ส.ส. เพิ่มได้ไม่มากเท่าที่ต้องการ เมื่อปรากฏว่าคนที่ย้ายไปอยู่กับพรรคเครือข่ายมีแต่ปลาที่เคยอยู่บ่อเดียวกัน ไม่มีปลาจากบ่ออื่นมาผสม

เมื่อหักกับยอดปลาที่โดดไปอยู่บ่ออื่นที่ไม่ใช่พรรคเครือข่าย ถึงจะรวมยอดกับพรรคเครือข่ายทุกพรรคแล้ว ฝั่งเพื่อไทยก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ ส.ส. มากไปกว่าเดิม มีแต่จะลดจำนวนน้อยลงกว่าเดิม

การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในต้นปีหน้าจึงเป็นเครื่องชี้วัดอย่างดีว่าแบรนด์พรรคเพื่อไทยที่มีคนตระกูลชินวัตรเป็นโลโก้นั้นยังจะมีความเข้มแข็งทางการตลาดอยู่หรือไม่

หลังตลาดโยกย้ายปิดลงพรรคที่น่าจับตามองคือพรรคประชาธิปัตย์ที่ยังสามารถรักษายอดอดีต ส.ส. ไว้ได้ค่อนข้างมาก มีคนที่ออกไปสวมเสื้อพรรคอื่นเพียงแค่ 26 คนเท่านั้น

ที่สำคัญคือคนที่ออกจากพรรคไปส่วนมากเป็นแค่ระดับผู้แสดงสมทบ ไม่ใช่พระนางที่ชื่อชั้นเรียกคนดูเข้าโรงได้

การเสียสมาชิกออกไปไม่มาก ไม่ได้เสียตัวผู้เล่นหลัก ทำให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นขั้วที่สามที่จะแย่งชิงการนำจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง

ทั้งนี้ เมื่อประเมินตามสถานการณ์แล้วถือว่ามีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง เพราะตัวเลข ส.ส. ของพรรคประชาธิปัตย์น่าจะมากกว่าพรรคพลังประชารัฐ และน้อยกว่าพรรคเพื่อไทยไม่มาก

ถ้าพรรคพลังประชารัฐได้ ส.ส. ระดับ 70+- พรรคเพื่อไทยได้ ส.ส. 120+- ตัวเลขของพรรคประชาธิปัตย์ก็น่าจะอยู่ในระดับ 90+- อาจจะแตะ 100 คนด้วยซ้ำไป

ตัวแปรสำคัญที่จะชี้วัดว่าขั้วไหนจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจึงตกมาอยู่ที่พรรคภูมิใจไทยที่ได้อดีต ส.ส. เข้าพรรค 15 คน และพรรคชาติไทยพัฒนาที่ได้อดีต ส.ส. เข้าสังกัด 8 คน

เมื่อรวมกับอดีต ส.ส. ที่ยังอยู่กับพรรค และ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่จะได้เพิ่มขึ้นจากระบบเลือกตั้งใหม่ใช้บัตรใบเดียวแล้ว ทั้ง 2 พรรคน่าจะมีตัวเลข ส.ส. รวม 40+-

ด้วยจำนวน ส.ส. 40+- นี้หากเทไปทางไหนทางนั้นก็มีโอกาสเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าสามารถจับมือกับพรรคเล็กพรรคน้อยอื่นๆได้แน่นหนาก็จะเพิ่มอำนาจต่อรองได้มากขึ้นไปอีก

มองได้ถึงโควตาคุมกระทรวงใหญ่เกรดเอได้สบาย

ถ้าต้องการมากกว่านั้นอาจสามารถเป็น “ตาอยู่” ส่งคนในบัญชีชื่อพรรคเป็นนายกรัฐมนตรีได้ แม้จะเป็นไปได้ยากแต่ใช่ว่าโอกาสจะไม่มีถ้าพรรคเหล่านี้จับมือกันได้แน่นหนาจริง

นี่คือความน่าจะเป็นของการเมืองเมื่อพิจารณาจากปัจจัยที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน ส่วนของจริงจะออกมาอย่างไรก็ต้องรอดูว่าจะมีปัจจัยอะไรมาเพิ่มจากนี้หรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องการใช้อำนาจรัฐและความเป็นกลางของคนคุมเลือกตั้ง


You must be logged in to post a comment Login