วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2567

ผู้หญิงห่างไกลเบาหวาน…แค่รู้เท่าทัน / โดย พญ.รัตนพรรณ สมิทธารักษ์

On September 21, 2018

คอลัมน์ : โลกสุขภาพ

ผู้เขียน : พญ.รัตนพรรณ สมิทธารักษ์  โรงพยาบาลกรุงเทพ

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 21-28 กันยายน 2561)

จากข้อมูลของสหพันธ์โรคเบาหวานนานาชาติระบุว่า ปัจจุบันมีผู้หญิงมากกว่า 199 ล้านคนเป็นเบาหวาน และจะเพิ่มเป็น 313 ล้านคนในปี พ.ศ. 2583 อีกทั้งเบาหวานยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่ 9 ของผู้หญิงทั่วโลกอีกด้วย

โรคเบาหวานเกิดจากเซลล์ร่างกายมีความผิดปรกติในกระบวนการเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดให้กลายเป็นพลังงาน ร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างโดยตับอ่อน และมีหน้าที่ในการส่งต่อน้ำตาลในเลือดไปยังเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกายได้เพียงพอ ร่วมกับภาวะดื้ออินซูลิน ทำให้ไม่สามารถนำอินซูลินไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปรกติ ทำให้เป็นโรคเบาหวาน ซึ่งพบได้ทุกเพศทุกวัย หากไม่รีบเข้ารับการรักษา หรือไม่รู้ตัวว่าเป็น ปล่อยปละละเลย อาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

“หากระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารมากกว่าหรือเท่ากับ 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมมากกว่า 6.4 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป จะถือว่าผู้นั้นเป็นโรคเบาหวาน โรคนี้ถือเป็นโรคที่น่ารำคาญโรคหนึ่ง เพราะเมื่อเป็นแล้วจะส่งผลในระยะยาว นำมาซึ่งความรุนแรงถึงชีวิตได้หากไม่ควบคุมและทำการรักษาอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นตาบอด ไตวายเรื้อรัง สูญเสียขา หลอดเลือดหัวใจอุดตัน อัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นต้น ดังนั้น ยิ่งรู้เร็ว ยิ่งรักษาเร็ว ยิ่งควบคุมได้เร็ว จะช่วยชะลอผลแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานได้”

โรคเบาหวานสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ชนิดคือ 1.โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes) เกิดจากตับอ่อนไม่ผลิตอินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง มักพบในเด็กหรือผู้ที่อายุน้อยกว่า 30 ปี รักษาโดยการฉีดอินซูลิน ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานและการออกกำลังกาย

2.โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes) พบมากในคนไทย เกิดจากตับอ่อนผลิตอินซูลินได้ไม่มากนัก ส่งผลให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งอายุที่เพิ่มมากขึ้นมีส่วนทำให้การทำงานของตับอ่อนลดประสิทธิภาพลง หากเป็นแล้วรักษาได้โดยการรับประทานยาและฉีดยา พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานและการออกกำลังกาย เหตุเพราะในปัจจุบันคนไทยเป็นโรคอ้วนกันมาก “ส่วนใหญ่แล้วคนอ้วนมักเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 เนื่องจากเกิดภาวะดื้ออินซูลิน เพราะเวลาที่ไขมันมีปริมาณมากส่งผลให้อินซูลินทำหน้าที่ได้ไม่ดีนักในการส่งน้ำตาลในเลือดไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ซึ่งการควบคุมน้ำหนักให้เป็นไปตามเกณฑ์จะช่วยลดความเสี่ยงเบาหวานได้”

3.โรคเบาหวานที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ เกิดจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไปจากการตั้งครรภ์ ส่งผลให้ร่างกายเกิดภาวะดื้ออินซูลิน มีแนวโน้มที่จะมีระดับน้ำตาลสูงขึ้น ดังนั้น คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ตั้งแต่อายุ 25 ปีขึ้นไป หรือคุณแม่ที่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวาน เช่น มีญาติสายตรงเป็นเบาหวาน น้ำหนักก่อนตั้งครรภ์สูง ครรภ์แฝด หรือผู้มีบุตรยาก เป็นต้น จำเป็นที่จะต้องตรวจอย่างละเอียด โดยเฉพาะในช่วงเดือนที่ 2 และ 3 หากคุณแม่เป็นเบาหวานจะส่งผลกระทบต่อเด็กในครรภ์ การรักษานั้นจะเน้นการใช้ยาที่มีผลข้างเคียงกับคุณแม่และทารกน้อยที่สุด และดูแลเรื่องการรับประทานอาหารอย่างใกล้ชิด

4.โรคเบาหวานชนิดอื่นที่มีสาเหตุเฉพาะ ได้แก่ ความผิดปรกติทางพันธุกรรม ความผิดปรกติของฮอร์โมน การได้รับยาบางชนิด เช่น ยาในกลุ่มสเตียรอยด์หรือสารเคมี เป็นต้น การรักษาจะพิจารณาจากอาการของแต่ละบุคคล อาการของโรคเบาหวานที่สามารถสังเกตได้และควรปรึกษาแพทย์โดยเร็วคือ ปัสสาวะบ่อย น้ำหนักลดแบบไม่ทราบสาเหตุ กระหายน้ำบ่อย กินจุมากกว่าปรกติ ชาปลายมือปลายเท้า อ่อนเพลีย คลื่นไส้ เวียนหัว หงุดหงิด และเกิดอาการตามัวบ่อยๆ รู้สึกไม่มีสมาธิเพิ่มมากขึ้น

เบาหวานป้องกันได้เมื่อยังไม่เป็น ได้แก่ เลี่ยงของหวาน น้ำอัดลม น้ำรสหวานทุกชนิด, รับประทานให้ถูกสัดส่วน เลือกรับประทานอาหารให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย, ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์, อาหารควรเน้นรสจืด โดยเฉพาะมื้ออาหารประจำวันในครอบครัว และรักษาน้ำหนักให้คงที่เป็นไปตามเกณฑ์ที่เหมาะสม แต่หากป่วยเป็นโรคเบาหวานแล้ว สิ่งที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรทำเมื่อรู้ว่าตนเองเป็นเบาหวานคือ ให้ยอมรับตัวเองและเข้ารับการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ, ให้ความร่วมมือในการรักษา รับประทานยา และปฏิบัติตัวตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด, ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ควบคุมอาหาร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ, เลี่ยงน้ำหวาน ผลไม้หวาน ลดไขมัน และอาหารรสเค็ม เน้นการรับประทานผักให้มาก ที่สำคัญควรดูแลระดับน้ำตาลอย่างใกล้ชิด ควบคุมความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือด


You must be logged in to post a comment Login