วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2567

คลายล็อก? แต่ห้ามหาเสียง..(ฮา)

On August 30, 2018

คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง

(โลกวันนี้วันสุข  ประจำวันที่ 31 สิงหาคม – 7 กันยายน 2561)

“วันนี้บอกไว้ได้เลยว่าจะติดตามความเคลื่อนไหวของทุกพรรคการเมืองว่าเป็นอย่างไร เราถึงจะสามารถกำหนดบทบาทของตัวเองได้อย่างเหมาะสมถูกต้องก็เท่านั้น วันนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรทั้งสิ้น เพราะยังมีเวลาอีกตั้งหลายเดือน”

อนาคตทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่บอกว่าจะประกาศชัดเจนในเดือนกันยายนจึงยังจะเลื่อนลอยต่อไป ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกที่ พล.อ.ประยุทธ์จะไม่ทำอย่างที่พูด แม้จะบอกว่าการเลือกตั้งเร็วสุดยังอยู่ในกรอบเวลาเดิมคือวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562

“สิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องดูว่าจากนี้เป็นต้นไปเราจะต้องทำอย่างไรกันต่อไป วันนี้เรากำลังรอกฎหมายอีกฉบับหนึ่งลงมาในเดือนกันยายน เมื่อกฎหมายลงมาจะมีเวลาอีก 90 วัน ซึ่งการปลดล็อกต่างๆให้สามารถดำเนินการได้ในช่วงกันยายนถึงธันวาคมก็เป็นระยะเวลา 90 วัน ซึ่งก็จะแก้ปัญหาได้ทั้งหมด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมสำหรับทุกพรรคการเมืองที่มีอยู่ในปัจจุบัน เมื่อทำคำสั่งเสร็จแล้วก็ค่อยว่ากันอีกที”

คลายล็อกห้ามหาเสียงเด็ดขาด

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงรูปแบบการทำไพรมารีโหวตว่า จะใช้วิธีที่ใกล้เคียงที่สุด แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ต้องรอให้ คสช. รับฟังความเห็นเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย คาดว่าจะเป็นแนวทางที่ให้พรรคตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 11 คน แล้วรับฟังความเห็นของสมาชิกพรรค ก่อนเสนอชื่อผู้ที่จะได้รับคัดเลือกเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคให้กรรมการบริหารพรรคนั้นๆพิจารณา เป็นข้อเสนอที่ค่อนข้างโน้มเอียงไปในทางนั้น ส่วนการหาเสียงจะทำได้ต่อเมื่อมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งแล้วเท่านั้น ซึ่งเป็นหลักการที่ใช้มาตลอด

ประเด็นการคลายล็อกที่ต้องจับตาคือ การติดต่อกับสมาชิกพรรคการเมืองผ่านช่องทางสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์หรือทางโซเชียลมีเดียนั้นจะทำได้เฉพาะทางแอพพลิเคชั่นไลน์เท่านั้น ถ้าไม่ใช่สมาชิกจะถือว่าเป็นการหาเสียง เช่นเดียวกับเฟซบุ๊คก็ห้ามเปิดเป็นสาธารณะ เพราะถือเป็นการหาเสียง

นอกจากนี้ยังมีรายงานข่าวจาก คสช. เปิดเผยว่า การคลายล็อกช่วงเดือนกันยายนถึงธันวาคมหลังจากร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว จะแก้คำสั่งประมาณ 9 เรื่อง อาทิ เรื่องทุนประเดิม 1 ล้านบาทใน 180 วัน การหาสมาชิก 500 คนใน 6 เดือน โดยจะแก้เป็นนับจากคำสั่งนี้ออกไป ส่วนการมีสมาชิก 5,000 คนใน 1 ปี และ 10,000 คนใน 4 ปี ก็จะแก้เป็น 180 วัน และ 4 ปี นับจากคำสั่งนี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา

พรรคการเมืองสามารถประชุมใหญ่แก้ข้อบังคับพรรคได้ เพื่อเลือกตั้งหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และกรรมการพรรค ประชุมพรรคเพื่อเปิดสาขาพรรคหรือจัดตั้งตัวแทนพรรคได้ แต่ห้ามประชุมในลักษณะก่อม็อบ การหาสมาชิกพรรคใหม่ทำได้โดยการรับสมาชิกผ่านไลน์เพื่อเป็นหลักฐานในการสมัคร

ส่วนไพรมารีโหวตให้พรรคการเมืองมีกรรมการสรรหา 11 คนเพื่อสรรหาคนลงเลือกตั้งเฉพาะครั้งนี้ ส่วนไพรมารีโหวตเต็มรูปแบบให้ทำในการเลือกตั้งครั้งต่อไป รวมถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หารือกับพรรคเพื่อแบ่งเขตเลือกตั้งได้ แต่ห้ามพรรคการเมืองหาเสียงโดยเด็ดขาด

ยุทธการสะเด็ดน้ำ

การคลายล็อกไม่ได้หมายความว่าการเลือกตั้งจะเป็นวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 เพราะ พล.อ.ประยุทธ์พูดชัดเจนว่าเร็วสุดคือเร็วกว่าวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 ไม่ได้ แต่ยังสามารถขยับหรือเลื่อนได้หาก คสช. เห็นว่ามีความจำเป็นหรือเกิดสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง ซึ่งสถานการณ์ภายใต้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์อะไรก็เกิดขึ้นได้

โดยเฉพาะข้อห้ามพรรคการเมืองทั้งก่อนและหลังการคลายล็อก ซึ่งไม่ใช่การห้ามพรรคการเมืองหาเสียงอย่างเด็ดขาดเท่านั้น แต่รวมถึงการกระทำผิดในข้อหาต่างๆที่อาจมีผลถึงการตัดสิทธิ์ทางการเมืองและยุบพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ซึ่งกลุ่มผู้มีอำนาจและเนติบริกรออกมาเตือนและขู่หลายครั้งแล้วว่าการเคลื่อนไหวของแกนนำหลายคนในพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทหารและ คสช. หรือกรณีอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทหารและ คสช. ผ่านสื่อต่างๆ ซึ่งหลายคนถูกกล่าวหาและตั้งข้อหาความผิดต่างๆ

ภายใต้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ไม่ได้มีแค่ “มาตรา 44” ที่เป็นเหมือนดาบอาญาสิทธิ์ทำอะไรก็ได้ ยังมี “อภินิหารทางกฎหมาย” ที่จะเอาผิดฝ่ายที่เห็นต่างหรือฝ่ายตรงข้ามได้ตลอดเวลา โดยอ้างซ้ำซาก “กฎหมายคือกฎหมาย” ทั้งที่เป็นกฎหมายที่มาจากประกาศและคำสั่งของผู้มีอำนาจ ไม่ใช่กฎหมายที่ผ่านมาตามกระบวนการรัฐสภาที่มาจากประชาชน ซึ่งช่วง 4 ปีที่ผ่านมาได้เห็นการออกกฎหมายใหม่หรือใช้กลไกทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมผ่านองค์กรอิสระและสภาลากตั้งกำจัดฝ่ายที่เห็นต่างหรือฝ่ายตรงข้ามหลายคน แม้แต่การออกกฎหมายเพื่อเอาผิดย้อนหลัง ขณะที่ผู้มีอำนาจและพวกทำอะไรก็ไม่ผิด ไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบัน หรือในอนาคต

“ทักษิโณมิกส์” เวอร์ชั่นใหม่

การทำรัฐประหาร 2 ครั้งหลังสุดเห็นชัดเจนว่าเป้าหมายสำคัญคือการล้มล้าง “ระบอบทักษิณ” ให้สิ้นซากหรือสะเด็ดน้ำ แต่จนถึงวันนี้ไม่ว่าจะเป็น “ระบอบทักษิณ” หรือ “ผีทักษิณ” ก็ยังหลอกหลอนกลุ่มผู้มีอำนาจและพวกพ้อง ล่าสุด นายพิชัย นริพทะพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทยและขาประจำ คสช. ที่ถูกเรียกตัวมากที่สุด ก็ประกาศท้าทายนโยบายประชารัฐและไทยนิยมยั่งยืน โดยจะเสนอแนวคิด “ทักษิโณมิกส์” เวอร์ชั่นใหม่หากชนะการเลือกตั้ง นำหลักคิดทางเศรษฐกิจเดิมสมัยรัฐบาลไทยรักไทยที่ประชาชนชื่นชอบมาพัฒนาต่อยอด นำเทคโนโลยีสมัยใหม่และสภาวะแวดล้อมของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเข้ามาร่วมพัฒนาแนวคิด เพื่อให้ประเทศไทยก้าวหน้าทันโลก

นายพิชัยยืนยันว่า “ทักษิโณมิกส์” เป็นชื่อที่รู้จักกันทั่วโลก ซึ่งอดีตประธานาธิบดีอาร์โรโยของประเทศฟิลิปปินส์เป็นผู้ตั้งให้และพยายามจะนำไปใช้พัฒนาฟิลิปปินส์ “ทักษิโณมิกส์” จึงไม่ใช่การครอบงำทางการเมือง คล้ายแนวคิด “Keynesian Economics” ของ “จอร์น เมย์นาร์ด เคนส์” หรือ “Reganomics” ของ “โรนัลด์ เรแกน” อดีตผู้นำสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม การนำแนวคิด “ทักษิโณมิกส์” มาพัฒนาประเทศแทบเป็นไปไม่ได้เลย แม้เกิดปาฏิหาริย์พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งได้เสียงข้างมากก็ยากที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ เช่นเดียวกับแกนนำพรรคเพื่อไทยออกมาประกาศจะปฏิรูปกองทัพ ยกเลิกโครงการเรือดำน้ำและยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ซึ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม บอกว่าเป็นแค่การหาเสียง และยังเย้ยพรรคเพื่อไทยว่าให้ได้เป็นรัฐบาลก่อนดีกว่า

อนาคตใหม่จะได้ ส.ส. 40 ที่นั่ง

ขณะที่มีรายงานข่าวว่า อดีตนายกฯทักษิณและ .ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินทางไปจีน (27 สิงหาคม) เพื่อพบปะเพื่อนฝูงและดำเนินธุรกิจ โดยมีสมาชิกพรรคเพื่อไทยหลายคนเดินทางไปพบ ซึ่งอดีตนายกฯทักษิณได้กล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้ท่านใดกลัวเรื่องการยุบพรรค เชื่อว่าถ้าเขายุบก็ชี้แจงสังคมยาก เช่น กรณี 8 แกนนำพรรคเพื่อไทยแถลงข่าวแล้วมีปัญหา จะเอาตรงนี้มายุบพรรค ซึ่งค้านสายตาประชาชน เพราะกลุ่มสามมิตรตระเวนแถลงข่าวไม่เว้นวันยังทำได้

ที่สำคัญอดีตนายกฯทักษิณประกาศว่า สงครามประชาธิปไตยยังไม่จบ ทั้งวิเคราะห์พรรคการเมืองที่จะชนะการเลือกตั้ง และเชื่อว่าพรรคอนาคตใหม่จะได้ ส.ส. ถึง 40 ที่นั่ง จากเสียงของคนเมืองและคนรุ่นใหม่ รวมถึงคนที่อยากเลือกพรรคเพื่อไทยแต่ทำใจเลือกไม่ได้ก็จะเลือกพรรคอนาคตใหม่ พรรคเพื่อไทยจึงไม่ได้ลำบากในเกมนี้ แต่พรรคประชาธิปัตย์น่าจะลำบากมากกว่า เพราะฐานของคนเมืองที่เคยได้จะถูกพรรคอนาคตใหม่แบ่งไป

อดีตนายกฯทักษิณยังบอกว่า พลังประชารัฐไม่ใช่ของแท้ ก๊อบปี้ทุกอย่าง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี คิดว่าตัวเองเป็นหมอใหญ่ ทั้งที่ผ่านมาเป็นเพียงเสมียนหน้าห้องหมอเท่านั้น รัฐบาลนี้ทำทุกอย่างอยู่ภายใต้กรอบปรัชญาของพรรคเพื่อไทยที่ว่า “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส” ทั้งสิ้น แม้แต่การประชุม ครม.สัญจรก็ก๊อบปี้ ซึ่งวันเลือกตั้งประชาชนตัดสินใจได้อยู่แล้วว่าอยากได้งานเกรดไหน

พลังคนรุ่นใหม่ 7-8 ล้านคน

นายชำนาญ จันทร์เรือง ว่าที่รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงกรณีอดีตนายกฯทักษิณประเมินว่าพรรคอนาคตใหม่จะได้ ส.ส. 40 ที่นั่ง และจะแย่งเสียงจากพรรคประชาธิปัตย์ในเมือง (กทม.) ว่า สำหรับพรรคอนาคตใหม่ประเมินว่าถ้าไม่ได้ ส.ส. น้อยไปเลยก็จะมากไปเลย เนื่องจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งหน้าใหม่ประมาณ 7-8 ล้านคนนั้น ตามสถิติจะมีลักษณะเฉื่อยชาทางการเมือง หากเกิดคนเบื่อสภาพการเมืองที่เป็นอยู่ เบื่อ คสช. ผลการเลือกตั้งอาจจะเหมือนมาเลเซีย

นายชำนาญเชื่อว่า การเลือกตั้งครั้งนี้โซเชียลมีเดียจะเข้ามามีบทบาทอย่างเต็มที่และจะส่งผลต่อการลงคะแนนมหาศาล ซึ่งจะทำให้พรรคอนาคตใหม่น่าจะได้ ส.ส. เกิน 40 ที่นั่ง ยุทธศาสตร์พรรคไม่ได้มีแค่ กทม. แต่ไปทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพราะทุกคะแนนมีความหมาย ยิ่งการเลือกตั้งและวิธีนับคะแนนแบบใหม่ซึ่งไม่เคยมีที่ไหนในโลกนี้ ไม่อาจนำผลการเลือกตั้งปี 2554 มาเทียบแบบบัญญัติไตรยางค์ได้ เนื่องจากพฤติกรรมมีรายละเอียดแตกต่างไปจากเดิม ประชาชนจะตัดสินใจเลือกเพียงใบเดียวเท่านั้นว่าเลือกคนหรือเลือกพรรค ไม่กาคนที่รักพรรคที่ชอบผ่านบัตร 2 ใบเหมือนเดิมได้

“ผมเชื่อว่าบัตรใบเดียวไม่ได้ส่งผลให้คนเลือกพรรคใหญ่เสมอไป เช่น ในภาคใต้คนเบื่อประชาธิปัตย์ แต่ก็คงทำใจกาเพื่อไทยไม่ได้ อนาคตใหม่ที่ยังไม่มีช่องโหว่ก็จะเป็นทางเลือกในส่วนนี้ นี่คือเสียงสะท้อนจากการลงพื้นที่โดยเฉพาะภาคกลางและภาคใต้ นอกจากนี้อนาคตใหม่ก็พร้อมทำไพรมารีโหวต โดยนำระบบออนไลน์เข้ามาช่วย แม้ คสช. จะแก้ไขให้งดเว้นก็ตาม เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในระบบการเมืองไทย”

ยุคมืดสังคมไทย

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ว่าที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งถูกกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ดำเนินคดีพร้อมพวกรวม 3 คน หลังไลฟ์วิจารณ์ “พลังดูด” และพาดพิง คสช. ยืนยันว่าจะวิจารณ์การกระทำของ คสช. ที่ไม่ถูกต้องต่อไปโดยไม่ตื่นตระหนกและไม่กังวล แต่ที่วิตกคือการข่มขู่คุกคามคนที่สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่

นายธนาธรชี้ว่า สังคมไทยกำลังอยู่ในยุคมืด อยากปิดปากใครก็ยัดคดีใส่ พอยัดคดีไม่ได้ก็ส่งคนไปข่มขู่ อย่างกรณีนายเอกชัย หงส์กังวาน ถูกทำร้ายเพราะเตือนสติสังคมไม่ให้ลืมเรื่อง “นาฬิกาหรู” ซึ่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรืออุบัติเหตุ แต่มีการวางแผนมาอย่างดี

ความเห็นของนายธนาธรยิ่งทำให้เห็นว่าความเงียบสงบช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่เพราะความสามัคคีปรองดอง แต่เป็นการใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์กล่าวหาและดำเนินคดีกับ “ผู้เห็นต่าง” โดยเฉพาะความผิดตามมาตรา 116 ฐานยุยงปลุกปั่น ซึ่งมีกว่า 33 คดี ผู้ต้องหาอย่างน้อย 91 คน ส่วนใหญ่ต่อต้านรัฐประหารและวิจารณ์ คสช. รวมถึงการใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) ปิดปากประชาชนที่วิพาษ์วิจารณ์รัฐบาลทหารและ คสช. ซึ่งมีผู้ถูกกล่าวหาและดำเนินคดีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

พอกันที “มรดกบาป”

นายปิยบุตร แสงกนกกุล ว่าที่เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กล่าวตอนหนึ่งในงานเสวนา “นักศึกษากับการเมืองของคนรุ่นใหม่” ที่ศูนย์ประชุมแก่งเลิงจาน อ.เมือง จ.มหาสารคาม (26 สิงหาคม) ว่า คนอายุ 20 ปีต้นๆในวันนี้เจอกับความขัดแย้งเรื่องสีเสื้อและอยู่กับการเมืองที่ผิดปรกติมาเกินกว่าครึ่งชีวิต มีความชอบธรรมสูงที่สุดที่จะบอกว่าพอกันที อย่าทิ้งมรดกบาปไว้ให้เรา เราต้องกำหนดอนาคตด้วยตัวเอง

นายปิยบุตรชี้ว่า การเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยทำให้เศรษฐกิจไม่ดี มีความเหลื่อมล้ำสูง นักศึกษาเรียนจบแล้วเริ่มต้นทำงาน ตั้งตัวทำธุรกิจใหม่ๆ แต่ก็ไปต่อไม่ได้เพราะติดข้อกฎหมาย เจอทุนผูกขาดที่เอื้อให้เฉพาะกลุ่มคนไม่กี่กลุ่ม หรือเรื่องรัฐธรรมนูญปี 2560 ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่เขียนโดยคนแก่ที่อีกไม่กี่ปีก็เสียชีวิตไปตามอายุขัย แต่เยาวชนคนรุ่นใหม่ต้องอยู่อีกอย่างน้อย 50 ปี ถามว่ายุติธรรมหรือที่คนแก่ๆเหล่านั้นมากำหนดอะไรไม่รู้ให้เรา ถามว่าถ้าไม่ยุ่งการเมืองก็จะต้องอยู่อย่างนี้ แม้คนเขียนกฎหมายตายไปแล้ว แต่ก็ยังมีมือผีของเขามาบีบคอเราเอาไว้ให้ทำตาม ประเทศไทยตอนนี้เปรียบเหมือนท่าเต้นมูนวอล์กของไมเคิล แจ๊กสัน คือเหมือนจะก้าวไปข้างหน้า แต่แท้จริงแล้วถอยหลัง จำนวนปี พ.ศ. เดินไปข้างหน้า แต่ชีวิตและสังคมของเราเหมือนจะดึงกลับไปยุค พ.ศ. 2520

ยุบเพื่อไทย-ทำหมันอนาคตใหม่

การเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทยและพรรคอนาคตใหม่ซึ่งประกาศต่อต้านรัฐประหารชัดเจนและรื้อล้าง “มรดก คสช.” ไม่ว่าจะเป็นประกาศและคำสั่งต่างๆที่ขัดแย้งกับระบอบประชาธิปไตย แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 และไม่เอา “ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” รวมถึงการปฏิรูปกองทัพและยกเลิกการเกณฑ์ทหาร

กระแสข่าวการยุบพรรคเพื่อไทยและทำหมันพรรคอนาคตใหม่ไม่ให้โตจึงมีมาตลอดและมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งภายใต้ “ระบอบพิสดาร” และอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ อะไรก็เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่การเลือกตั้งระหว่างพรรคการเมืองด้วยกันเอง แต่เป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายสนับสนุน “ระบอบพิสดาร” กับฝ่ายต้องการ “ระบอบประชาธิปไตย” ที่มาจากประชาชนและเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่ประชาธิปไตย 99.99% ภายใต้ “ระบอบพิสดาร”

“โบว์” ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรมอิสระด้านสิทธิมนุษยชนและกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ได้ทวีตข้อความ (28 สิงหาคม) ว่า “ถ้ามีการยุบพรรคเพื่อไทย อนาคตใหม่ ก่อนการเลือกตั้งจนทำให้ลงสนามแข่งขันไม่ได้ ประชาชนควรทำอย่างไร? ก็ต้องบอยคอตการเลือกตั้งค่ะ ขนาดการเลือกตั้งที่พรรคประชาธิปัตย์เคยตัดสินใจบอยคอตไม่ลงสมัครเองยังถูกทำให้เป็นโมฆะมาแล้ว ท่าทีของประชาชนต่อเผด็จการจากวันนี้ถึงการเลือกตั้งต้องหนักแน่นชัดเจน”

คนดีปรี๊ดแตก

การต่อสู้ทางการเมืองจะรุนแรง เข้มข้น และซับซ้อน ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่าจะเป็นการเริ่มต้น “วิกฤตรอบใหม่” สะท้อนถึงความล้มเหลวและเสียเปล่าของการรัฐประหารครั้งแล้วครั้งเล่า หากประชาชนไม่ลุกขึ้นมาสู้ มาร่วมปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน บ้านเมืองก็จะยังจมปลักอยู่กับ “วงจรอุบาทว์” ซ้ำซาก

แต่กลุ่มผู้มีอำนาจกลับเชื่อและฝันว่าสิ่งที่พวกตนสร้างและเขียนขึ้นมาจะทำให้ประเทศมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ทั้งที่กว่า 4 ปีมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กลับมีคำถามโดยตลอดที่ว่ามีผลงานมากมายและเศรษฐกิจดีวันดีคืนนั้น ทำไมคนส่วนใหญ่จึงรู้สึกไม่ดี และตัวเลขเศรษฐกิจ (จีดีพี) ที่ว่าเติบโตอย่างต่อเนื่อง ช่วง 2 ปีหลังไปอยู่ที่ไหนหรือกลุ่มใด และทำไมนักวิชาการและนักเศรษฐกิจต่างระบุว่าเศรษฐกิจไทยวันนี้เป็นยุค “รวยกระจุก จนกระจาย”

การปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี พร้อมกับการสร้างฝัน “ไทยแลนด์ 4.0” เพื่อทำให้ประเทศดูดีดูทันสมัย กลับยิ่งสะท้อนให้เห็นวิกฤตการเมืองกว่า 10 ปีที่ผ่านมากับการรัฐประหาร 2 ครั้ง ทำลายทั้งระบอบประชาธิปไตย กระบวนการยุติธรรม และระบบเศรษฐกิจอย่างมหาศาล แล้วยังพยายามฉุดรั้งสังคมไทยให้กลับไปสู่สังคมแบบเจ้าขุนมูลนายและนายกับบ่าวที่ต้องเชื่อผู้นำและเชื่อผู้มีอำนาจ

เมื่อคนไม่เชื่อ “ทั่นผู้นำ” และยังเรียกร้องประชาธิปไตย เรียกร้องการเลือกตั้ง จึงไม่แปลกที่ “ทั่นผู้นำ” จะมีอารมณ์หงุดหงิดและออกอาการปรี๊ดแตกบ่อยครั้ง ไม่ใช่แค่ตะเพิดผู้สื่อข่าวที่ถามไม่ถูกใจออกจากทำเนียบรัฐบาลเท่านั้น แต่ก่อนหน้านี้ด่าสื่อห่วยและสร้างความแตกแยกบ่อนทำลายชาติ

บ้านเมืองยุค “คนดี” ไม่ใช่เรื่องของ “ลูกผู้ชาย” อย่างที่ .ต.ประสงค์ สุ่นศิริ คนที่เคยเป็นพวกเดียวกัน ยก “คติพจน์ลูกผู้ชาย” ที่สอนว่า “ลูกผู้ชาย” ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารบ้านเมือง ต้องหัดรับคำตำหนิ คำด่าว่า คำสั่งสอน และคำแนะนำต่างๆที่ดีจากผู้อื่น ต้องยินดีรับฟังมากกว่าปฏิเสธ ความอดทน อดกลั้น ต้องนำมาใช้ให้มากที่สุด ความอิจฉา ริษยา การประชดประชัน ต้องขจัดออกไปจากตัวเองให้ได้…

ไม่ว่าอะไรก็ตาม ไม่ว่าช้าหรือเร็ว การเลือกตั้งก็จะต้องเกิดขึ้น เพราะในระบอบประชาธิปไตยนั้น การเลือกตั้งหรือฟังเสียงประชาชนเป็นวิธีเดียวที่ยังดีที่สุด

ความพยายามที่จะหน่วงรั้งการเลือกตั้ง หรือยืดออกไปเรื่อยๆ ไม่เป็นผลดีกับทุกฝ่าย

ภายใต้กติกาใหม่ที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมเผด็จการได้เปรียบฝ่ายตรงข้ามอย่างเหลือล้น แต่ยังกล้าๆกลัวๆ คลายล็อกแต่ห้าม (อีกฝ่าย) หาเสียง ซึ่งอาจถูกมองว่ากำลังทำทุกวิถีทางด้วยเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ได้

รู้กันว่าการเลือกตั้งนั้นไม่แน่นอน แต่เมื่อมีการระบุวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 นั้น มีการพูดออกมาจากปากแล้วจริง

ความไม่แน่นอนจึงจะทำให้เกิดผลเสียหายอย่างใหญ่หลวงในอนาคตได้ ยิ่งหากมีความพยายามที่จะเตะถ่วงออกไป ความวุ่นวาย ความไม่สะดวกก็จะเกิดขึ้นได้อีกไม่รู้จบ

หรือว่าความจริงซ้อนความจริงก็คือ บ้านเมืองยังควรวุ่นวายต่อไป ถ้าเป็นเช่นนั้นใครได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์จากความไม่สงบ เมื่อไม่สงบก็ต้องมี “ฮีโร่” ขี่รถถังออกมาอยู่ต่อไปเพื่อรักษาความสงบกันหรืออย่างไร?

ปั๊ดโธ่!! ตั้งข้อสงสัยแบบนี้.. ต้องเป็นสื่อห่วยแน่นอน!!??


You must be logged in to post a comment Login