วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2567

บทเรียนร้องเรียกเผด็จการ / โดย Pegasus

On February 19, 2018

คอลัมน์ : เพื่อชาติประชาชน

ผู้เขียน : Pegasus

ช่วงนี้นักวิชาการ สื่อมวลชน และมวลมหาประชาชนบางส่วนที่เคยสนับสนุนให้เผด็จการเข้ามาครองเมือง ต่างหันรีหันขวางเพราะดูอะไรน่าเบื่อหน่ายไปหมด แถมยังทำนายอนาคตของเผด็จการอย่างไม่ไว้หน้า

ในทางกลับกันฝ่ายเผด็จการก็ดาหน้าออกมายอมรับชัดเจนว่าจะอยู่กันแบบนี้ไปล่ะ ไหนๆก็ได้อำนาจแล้ว ถ้าจนมุมจำเป็นต้องให้มีการเลือกตั้ง แต่ก็ถูกมองว่าเป็นความพยายาม “สืบทอดอำนาจ” ด้วยการซื้อเสียงล่วงหน้าผ่านระบบราชการและท้องที่กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน

เผด็จการเข้ามาได้อะไรบ้าง แน่นอนว่าทำให้มีความสงบ เพราะกองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่เคยเข้ามาป่วนบ้านเมืองโดยม็อบต่างๆก็กลับเข้าที่ตั้งกันหมดแล้ว พวกเผาบ้านเผาเมืองก็ใส่ร้ายป้ายสีไปเรียบร้อยแล้ว คนที่ทำจริงก็ลอยนวล คนถือปืนยิงคนตายกลางกรุงที่เห็นหน้าชัดเจน ตำรวจก็หมดปัญญาตามจับ ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอันใด แต่บ้านเมืองตอนนี้เงียบสงบแน่นอน

ความเงียบสงบที่เกิดขึ้นทำให้กิจกรรมต่างๆทางเศรษฐกิจเงียบสงบไปด้วยจนมีข่าวว่าเงินล้นประเทศ ไม่ใช่รวยแต่ไม่ยอมใช้เงิน ไม่ยอมลงทุน เอาเงินฝากธนาคารกินดอกเบี้ย ส่วนธนาคารก็กลัวมีปัญหาหนี้เสียจึงไม่กล้าปล่อยกู้ เพราะต่างชาติไม่ลงทุน เศรษฐกิจก็ไม่เกิดการหมุนเวียน ธนาคารจึงไม่มั่นใจว่าคนซื้อบ้านหรือขอกู้ไปลงทุนต่างๆจะสามารถใช้หนี้ได้หรือไม่หรือมีเงินจริงหรือไม่

ที่สำคัญความเงียบสงบครั้งนี้เกิดไปทั่วในชนบท เพราะเงินทุนสนับสนุนรัฐประหารอยู่กลางกรุงก็ต้องบำรุงบำเรอกันมากกว่าจะเอาไปลงทุนในชนบท โครงการขนาดใหญ่ล้วนเป็นบริษัทขนาดใหญ่ไม่กี่บริษัทกับทุนต่างชาติแบ่งสรรกันไป

พื้นที่เศรษฐกิจพิเศษที่ประกาศว่าจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตก็ให้ความสำคัญกับทุนต่างชาติเต็มที่ เพราะหวังว่านักลงทุนต่างชาติจะลงทุนที่ชะลอก่อนหน้านี้ไปเป็นเวลานาน

หลายคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าเศรฐกิจไม่ดีก็จะถูกมองว่ามีอคติกับรัฐบาล ซึ่งก่อนหน้านี้ผลสำรวจมักจะระบุว่ารัฐบาลและผู้นำประเทศเป็นที่ชื่นชอบถึงร้อยละ 90 แม้จะกลัวการเลือกตั้งก็ตาม

ข้อมูลข้อเท็จจริงเหล่านี้สามารถสืบค้นได้จากหลักฐานขององค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งมีตัวเลขเบื้องต้นถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจช่วงการรัฐประหารกับช่วงรัฐบาลก่อนหน้านี้ชัดเจน รวมถึงเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกัน ซึ่งทุกคนทราบดีว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยชะลอตัวเหลือแค่ครึ่งเดียวเมื่อเทียบกับช่วงประชาธิปไตย และเติบโตโดยเฉลี่ยน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาก

ส่วนรัฐบาลก็พูดเป็นแผ่นเสียงตกร่องว่า คนวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเพราะไม่รู้ความจริง ทั้งที่ตอนนี้เศรษฐกิจกำลังดีวันดีคืน ซึ่งก็จริงแค่ครึ่งเดียว เพราะเศรษฐกิจขณะนี้ที่ขยับขึ้นนั้นขยับขึ้นในอัตราที่ต่ำและฟื้นจากจุดตกต่ำสุดหลังการรัฐประหาร หมายถึงเศรฐกิจเติบโตจริง แต่ไม่ดีเท่าช่วงก่อนหน้า แถมยังมีนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรอย่างมากจนเงินหมุนเวียนในชนบทหดหายไป เงินภาษีที่รัฐจะเก็บได้ก็ลดน้อยไป รัฐบาลจึงไม่มีเงินมาใช้จ่ายรวมถึงซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆจนต้องกู้เงินมาอุดช่องว่างนี้จนจะมากกว่าภาษีที่เก็บได้แล้ว

นี่คือบทเรียนที่ได้รับจากการเรียกหาเผด็จการ ซึ่งน่าจะเป็นบทเรียนได้ว่าเผด็จการทุกรูปแบบไม่เคยสร้างความสุขให้กับประชาชนได้เลย


You must be logged in to post a comment Login