วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2567

ยังไม่สุดทาง

On August 8, 2017

คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น

ความเคลื่อนไหวของแกนนำม็อบเหลือง-แดงกลับมาอยู่ในความสนใจของประชาชนอีกครั้ง

เป็นความสนใจอันเนื่องมาจากการสลายการชุมนุมของทั้งสองกลุ่ม

กลุ่มหนึ่งมีคดีความขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งศาลฎีกาฯเพิ่งตัดสินไปไม่กี่วันนี้ว่าให้ยกฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกกล่าวหาร่วมกันออกคำสั่งให้สลายชุมนุมเกินกว่าเหตุไม่เป็นไปตามหลักสากล

กลุ่มหนึ่งไม่มีคดีความขึ้นสู่การพิจารณาคดีของศาลฎีกาฯเพราะกระบวนการยุติธรรมชั้นต้นอย่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตีตกคำร้องให้สอบเอาผิดผู้ร่วมกันออกคำสั่งสลายการชุมนุมที่ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตาย

หลังศาลฎีกาฯตัดสินยกฟ้อง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตผบ.ตร.กับอดีตผบช.น. แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนัดประชุมกันเพื่อยื่นเรื่องให้ป.ป.ช.ใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์คดี

คำร้องให้ป.ป.ช.อุทธรณ์คดีต่อศาลฎีกาฯถูกส่งถึงป.ป.ช.อย่างเป็นทางการแล้วโดยแสดงเหตุผล 7 ข้อ

ทั้ง 7 ข้อเมื่อพิจารณาแล้วไม่มีอะไรใหม่ไปกว่าเดิมเป็นการยืนยันหลักคิดว่าทำไมจึงเห็นว่านายสมชาย พล.อ.ชวลิตและพวกควรมีความผิด

ส่วนจะยื่นอุทธรณ์หรือไม่อยู่ในอำนาจตัดสินใจของป.ป.ช.ซึ่งมีเวลา 30 วันหลังจากศาลมีคำพิพากษาไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

อย่างที่ทราบกันว่าหลังศาลตัดสินมีหลายฝ่ายออกมาเรียกร้องให้ป.ป.ช.ยื่นอุทธรณ์คำตัดสินส่วนเหตุผลสนับสนุนแยกได้เป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มที่ไม่ถูกใจคำตัดสินของศาล กลุ่มที่เห็นว่าเมื่อมีสิทธิอุทธรณ์คดีได้ก็ควรใช้สิทธิ และกลุ่มที่เห็นว่าเมื่อยังไม่สุดทางก็ไปให้สุดสถานีปลายทาง หลังคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ไม่ว่าจะออกมาอย่างไรเรื่องจะได้จบเพราะสุดทางของกระบวรการยุติธรรมแล้ว

เมื่อพิจารณาจากเหตุผลก็สมควรยื่นอุทธณ์เพราะเมื่อไปสุดทางแล้วต่อให้ใครไม่พอใจอย่างไรก็ต้องยอมจบ ต้องยอมรับในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจะทำให้หมดข้ออ้างที่จะใช้เคลื่อนไหวต่อไป

เช่นเดียวกับกรณีการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ป.ป.ช.ชุดเก่ามีมติยกคำร้องก็สมควรปัดฝุ่นหยิบยกขึ้นมาพิจารณาใหม่ เพราะทั้งแกนนำและมวลชนฝ่ายนี้ยังมีความแคลงใจผลการพิจารณาอยู่

แม้ป.ป.ช.ซึ่งเป็นกระบวนการยุติธรรมต้นน้ำจะมีอำนาจตัดสินใจได้ว่าจะรับเรื่องไว้พิจารณาหรือไม่ก็ได้ หรือพิจารณาแล้วจะชี้มูลความผิดผู้ถูกกล่าวหาหรือไม่ก็ได้

แต่เมื่อยังมีกระบวนการให้ไปต่อได้ก็ควรไปให้สุดสถานีปลายทางเช่นเดียวกับกรณีสลายการชุมนุมของม็อบพันธมิตรฯที่ป.ป.ช.ตัดสินใจยื่นฟ้องคดีเองโดยตรงต่อศาลฎีกาฯทั้งที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้องเนื่องจากเห็นว่าสำนวนไม่สมบูรณ์

หากป.ป.ช.ยื่นอุทธรณ์คดีสลายม็อบพันธมิตรฯก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่รื้อเรื่องสลายชุมนุมม็อบเสื้อแดงขึ้นมาพิจารณาใหม่

ถ้ายื่นอุทธรณ์คดีหนึ่งแล้งเพิกเฉยต่ออีกกรณีหนึ่งจะยิ่งเพิ่มความแคลงใจต่อประชาชน แน่นอนว่าไม่เป็นผลดีต่อบรรยากาศปรองดอง

อยากให้เรื่องจบแบบถึงจะกังขาก็ทำอะไรไม่ได้ก็ต้องไปให้สุดสถานีปลายทางของกระบวนการยุติธรรมทั้งสองกรณี


You must be logged in to post a comment Login