วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2567

‘เบคแฮม’ปฏิเสธมีบ้านที่สมุย / โดย ดร.โสภณ พรโชคชัย

On July 13, 2017

คอลัมน์ : โลกอสังหาฯ
ผู้เขียน : ดร.โสภณ พรโชคชัย

เมื่อเร็วๆนี้ “เดวิด เบคแฮม” ได้รับการว่าจ้างให้ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยให้สัมภาษณ์ว่าอยากมีบ้านในประเทศไทย และปฏิเสธว่าไม่เคยมีบ้านในไทยมาก่อน แต่ทำไมคนระดับนายกสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูเก็ตซึ่งน่าจะรู้เรื่องดีจึงยืนยันว่าเบคแฮมมีบ้านที่สมุย ความจริงเป็นอย่างไร จะปล่อยให้ระบบข้อมูลเมืองไทยขมุกขมัวไปแบบนี้แบบไม่สิ้นสุดหรืออย่างไร

คลิปเผยแพร่บทสัมภาษณ์เบคแฮมเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม โดย “วูดดี้” ในนาทีที่ 2.19 ได้ถามเบคแฮมว่า มีบ้านอยู่ในไทยหรือไม่ เบคแฮมตอบว่าไม่มี แต่อยากจะมีเหมือนกัน ในวันเดียวกันสำนักข่าว TNN ได้รายงานในทำนองเดียวกันว่า มีข่าวว่าเบคแฮมอยากมีบ้านอยู่ที่ไทย ซึ่งที่ผ่านมามีข่าวว่าเบคแฮมมีบ้านอยู่ที่เกาะสมุย

แม้เบคแฮมจะปฏิเสธว่าไม่มีบ้านพักที่เกาะสมุย แต่เมื่อปี 2550 มีข่าวว่านายกสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาะสมุยยืนยันว่า เบคแฮมพร้อมครอบครัวเข้าพักในคฤหาสน์หรูส่วนตัวราคา 200 ล้านบาท บนเนื้อที่กว่า 7 ไร่ ตั้งอยู่บนเนินเขาแหลมหอยบ้านใต้ ต.แม่น้ำ อ.เกาะสมุย ซึ่งเป็นจุดที่มองเห็นวิวทะเลสวยงามที่สุดของเกาะ (ผู้จัดการรายวัน 1 กรกฎาคม 2550)

นอกจากนี้ยังมีข่าวว่าเบคแฮมสร้างบ้านราคา 300 ล้านบาทที่สมุย โดยข่าวระบุว่า เบคแฮมซุ่มเงียบซื้ออสังหาริมทรัพย์ ที่ดินแปลงงามย่านบ้านใต้ขนาด 20 ไร่ ดูโลเกชั่นแล้วเหมือนซื้อเขายกลูกติดริมทะเลและยังมีชายหาดส่วนตัวที่สวยงามมาก ซึ่งที่ดินแปลงนี้กว้านซื้อมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นนักเตะสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยมีนายหน้าชาวต่างชาติขายให้ ราคาประมาณ 300 ล้านบาท ฟันกําไรไปเบาะๆ 100 กว่าล้านบาท ซึ่งนักค้าที่ดินสมุยทราบกันดี (กระปุก 24 มิถุนายน)

ข่าวภาษาอังกฤษก็ระบุว่า เบคแฮมซื้อในปี 2550 ในราคา 4.5 ล้านยูโรขณะนั้น “David Beckham and Victoria Beckham Wednesday 4th February 2009 David and Victoria Beckham’s house (right) on the island Koh Samui. The couple bought the house in 2007 for about 4.5 m Euro. Reconstruction was finished mid 2008. Ban Tai, Thailand” (http://bit.ly/2unPeYQ) และโปรดดูภาพวิดีทัศน์ได้ที่ http://bit.ly/2uHM69A

กรณีเบคแฮมควรได้รับการพิสูจน์ทราบให้ชัดเจน แม้เบคแฮมจะมาซื้อบ้านในไทยก็อาจซื้อในนามบริษัทหรือในลักษณะ Nominee ก็ได้ นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงความหละหลวมของประเทศไทย ถ้าเป็นในมาเลเซีย สิงคโปร์ และประเทศที่เจริญอื่นๆ คงไม่เกิดขึ้น แต่ในประเทศไทยอาจมีช่องโหว่ให้ข้าราชการที่ทุจริตทำการ “ขายชาติ” ได้โดยง่าย

ยิ่งถ้าไม่มีการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ยกเว้นไปแทบทั้งหมด หรือไม่มีการเก็บภาษีมรดกแบบจริงจัง (แต่เป็นแบบไทยๆที่ราคาตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป ก็สามารถผ่องถ่ายให้ลูกหลานก่อนตายได้โดยไม่ต้องเสียภาษี) ก็เท่ากับเรากำลังยกแผ่นดินให้ต่างชาติฟรีๆ เพราะคนรวยมากๆในประเทศไทยที่มีอิทธิพลทางการเมืองทำการเล่นกล ทำให้พระราชบัญญัติเกี่ยวกับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างและพระราชบัญญัติเกี่ยวกับมรดกกลายเป็นกฎหมาย “เสือกระดาษ” ที่ไม่อาจเก็บภาษีคนรวยได้ ซึ่งเราต้องปรับปรุงใหม่ดังนี้

1.มีการตรวจสอบระบบการโอนเงินซื้อบ้าน ที่ดิน ระบบทะเบียนราษฎร์ ระบบฐานข้อมูลการเสียภาษีให้ชัดเจน เพื่อป้องกันการลักลอบต่างๆนานา

2.มีการป้องกันและปราบปรามอย่างจริงจังต่อการกระทำในลักษณะที่เข้าข่ายเป็นนอมินี (nominee) ที่ “ขายชาติ” ด้วยการแอบถืออสังหาริมทรัพย์ให้ชาวต่างชาติ

3.การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประมาณ 1% ของราคาตลาดโดยไม่มีข้อยกเว้น เพื่อนำภาษีมาพัฒนาท้องถิ่นเยี่ยงนานาอารยประเทศ โดยเฉพาะในประเทศตะวันตก

4.การจัดเก็บภาษีมรดกและภาษีการให้ให้เข้มงวด การยกมรดกให้ใครก็ต้องมีการเสียภาษีให้ถูกต้องตามกฎหมายโดยไม่ต้องมีข้อยกเว้น

เรายินดีขายชาติให้ต่างชาติเพื่อคนรวยจัดๆจะได้เลี่ยงภาษีหรืออย่างไร หากรักชาติจริงต้องเต็มใจเสียภาษี


You must be logged in to post a comment Login