วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2567

ความอัปยศ‘ภาษีมรดก’ / โดย ดร.โสภณ พรโชคชัย

On June 15, 2017

คอลัมน์ : โลกอสังหาฯ
ผู้เขียน : ดร.โสภณ พรโชคชัย

เราพร่ำบอกให้คนไทยรักชาติ แต่คนรวยๆกลับไม่ยอมเสียภาษี สภาเป็นของคนรวยใช่หรือไม่ ผมอ่านพบบทความหนึ่งว่า “1 ปี ภาษีมรดกไม่สามารถเก็บได้แม้แต่บาทเดียว” แสดงชัดเจนว่าเก็บไม่ได้จริงๆ แสดงว่ากฎหมายนี้แทบไม่มีผลในทางปฏิบัติ ถือเป็นกรณีศึกษากฎหมาย “ศรีธนญชัย” ขั้นเทพ

กรมสรรพากรกำหนดว่า ภาษีการรับมรดกเกิดขึ้นเมื่อเจ้ามรดกตาย ผู้รับมรดกจากเจ้ามรดกแต่ละรายได้รับมรดกสุทธิมาในคราวเดียวหรือหลายคราวรวมกันมีมูลค่าเกินกว่า 100 ล้านบาท มีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามที่กฎหมายกำหนด

บทความที่ผมอ้างใช้ข้อมูลถึงเดือนมกราคม 2560 แต่ข้อมูลล่าสุด ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560 (ในรอบครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2560 ตุลาคม 2559-มีนาคม 2560) พบว่ายังไม่มีการจัดเก็บภาษีมรดกเช่นเดิม ยิ่งกว่านั้นยังพบว่าการจัดเก็บภาษีหลายรายการมีนัยน่าสนใจคือ 1.ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลดลง แสดงว่ารายได้ของประชาชนลดลง ยิ่งกว่านั้นภาษีรถจักรยานยนต์ซึ่งใช้สอยโดยผู้มีรายได้น้อยและปานกลางก็ลดลงด้วย 2.ภาษีรถยนต์ที่ใช้โดยผู้มีรายได้ปานกลางและรายได้สูงเก็บได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งภาษีเบียร์ สุราเก็บได้เพิ่มขึ้น อาจเป็นเพราะความเครียดทำให้บริโภคมากขึ้นหรืออย่างไร

ผมยกตัวอย่างการเสียภาษีมรดกในต่างประเทศมาเปรียบเทียบดังนี้ 1.ญี่ปุ่น กำหนดให้ผู้มีมรดกไม่เกิน 10 ล้านเยน (3 ล้านบาท) ต้องเสียภาษีมรดก 10% ไปจนถึงอัตราสูงสุดคือ 50% 2.อังกฤษ ผู้ที่มีมรดกตั้งแต่ 350,000 ปอนด์ (18.15 ล้านบาท) ต้องเสียภาษีมรดกสูงถึง 40% ของมูลค่า 3.สหรัฐ ราคาขั้นต่ำของทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีมรดกคือ 5.34 ล้านดอลลาร์ หรือ 172.319 ล้านบาทในปี 2557 ส่วนในระดับมลรัฐ ผศ.กานดา นาคน้อย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ภาษีมรดกเก็บกับทรัพย์สินที่มีค่าตั้งแต่ 2 ล้านดอลลาร์ (64.5 ล้านบาท) ขึ้นไป โดยเก็บในอัตราสูงสุด 20% หากเทียบกับค่าครองชีพของสหรัฐที่สูงกว่าไทย 4-5 เท่า เท่ากับเสียภาษีระดับราคาต่ำกว่า 100 บาทของไทยเป็นอย่างมาก

จะเห็นได้ว่าทุกประเทศกำหนดเสียภาษีไว้ต่ำกว่า แต่ของไทยมีข้อยกเว้นที่หลวมกว่า ยิ่งเมื่อพิจารณาค่าของเงิน อังกฤษ สหรัฐ และญี่ปุ่น กำหนดให้ทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีมีมูลค่าต่ำกว่าที่ไทยกำหนด ยิ่งกว่านั้นราคาที่ต้องเสียภาษีคิดตามราคาประเมินของทางราชการซึ่งมักต่ำกว่าราคาตลาดเป็นอันมาก แต่ในประเทศตะวันตกราคาประเมินของทางราชการกับราคาตลาดใกล้เคียงกันมาก

แสดงให้เห็นว่าประเทศตะวันตกพยายามทำให้เกิดความเท่าเทียมมากกว่าไทย เดิมเราเชื่อว่าภาษีมรดกคงไม่เกิดขึ้นในยุครัฐบาลจากการเลือกตั้ง แต่รัฐบาลจากรัฐประหารก็ไม่อาจเข็นกฎหมายภาษีมรดกได้เช่นกัน เพราะผู้มีส่วนเกี่ยวข้องล้วนแต่มีฐานะดีทั้งสิ้น เข้าทำนองภาษิตกฎหมายที่ว่า “ชนชั้นใดเขียนกฎหมายก็เพื่อชนชั้นนั้น” นั่นเอง

สำหรับข้อยกเว้นการยกทรัพย์สินให้บุตรหลานระหว่างที่เจ้าของทรัพย์สินยังมีชีวิตอยู่ถือเป็นการให้ ตามกฎหมายระบุไว้ว่า “เงินได้จากการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์โดยไม่มีค่าตอบแทนให้แก่บุตรชอบด้วยกฎหมายซึ่งไม่รวมถึงบุตรบุญธรรม เฉพาะเงินได้ในส่วนที่ไม่เกิน 20 ล้านบาทตลอดปีภาษีนั้น” (พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร ฉบับที่ 40 พ.ศ. 2558 มาตรา 4)

ในทางปฏิบัติหากผู้ใดคาดว่าจะมีกองมรดกไม่เกิน 100 ล้านบาท ก็รอให้ผู้นั้นถึงแก่กรรมเสียก่อนแล้วลูกหลานก็สามารถแบ่งกันได้โดยไม่ต้องเสียภาษี หากมีทรัพย์สินมาก ส่วนที่เกินก็ทยอยโอนให้ลูกคนละไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อปีไปเรื่อยๆจนกว่าจะเสียชีวิต ก็เท่ากับเลี่ยงภาษีได้ กฎหมายภาษีมรดกจึงเป็นกฎหมายที่มีก็เหมือนไม่มี ไม่มีผลบังคับกับคนรวยที่รู้ช่องทาง “วางแผนภาษี” ได้อย่างมืออาชีพ

อันที่จริงแนวคิดภาษีมรดกเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเท่าเทียมกัน อภิมหาเศรษฐีฝรั่งมีค่านิยมในการบริจาคเงินมหาศาลเพื่อสังคม เพราะเชื่อตามนายแอนดรูว์ คาร์เนกี อภิมหาเศรษฐีอเมริกันที่กล่าวว่า “คนที่ตายอย่างร่ำรวย ตายอย่างน่าอับอาย” (the man who dies thus rich dies disgraced) เขาจึงบริจาคทรัพย์เกือบทั้งหมดให้การกุศลก่อนตาย เหลือให้ทายาทเพียงบางส่วน

อาจกล่าวได้ว่ากฎหมายภาษีมรดกที่รัฐบาลออกมาแทบไม่มีผลในทางปฏิบัติ เป็นเพียงให้ได้ชื่อว่าออกมาตามที่สัญญาไว้เท่านั้น ไม่ได้มีผลต่อการสร้างความเท่าเทียมกันในสังคมที่เกลี่ยความมั่งคั่งในยุคที่ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริง (ไม่ใช่แค่ในนาม) หรือประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดินเช่นประเทศตะวันตก (ซึ่งไม่ทราบว่าจะเป็นเมื่อไร)

เราควรแก้ไขกฎหมายภาษีมรดกใหม่เพื่อลดความเหลื่อมล้ำได้จริง การที่ไทยออกกฎหมาย “เพี้ยนๆ” แบบนี้ แสดงว่าเรายังมีคนรวยสุดๆที่มีอิทธิพลทางการเมือง ยังมีผู้ยิ่งใหญ่แสดงฤทธิ์เดชในฐานะอภิสิทธิ์ชนในสังคมไทย รัฐบาลของประชาชนต้องพยายามสร้างความเท่าเทียมจึงจะลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความเท่าเทียมในสังคม ทำให้ประเทศไทยเป็นของคนไทยทั้งชาติ ไม่ใช่เฉพาะของคนรวยๆ


You must be logged in to post a comment Login