วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

อย่าให้พวกดราม่าครองเมือง! / โดย ดร.โสภณ พรโชคชัย

On December 22, 2016

คอลัมน์ : โลกอสังหาฯ
ผู้เขียน : ดร.โสภณ พรโชคชัย

หลายคนทั้งพวกเสื้อเหลือง เสื้อแดง ต่างเชื่อว่าเหมืองทองคำมีมลพิษจริง เขื่อนแม่วงก์ทำลายป่าไม้และสัตว์ป่า และการรื้อชุมชนป้อมมหากาฬรังแกประชาชน ผมขอเรียนว่าท่านเข้าใจผิด และเชื่อว่าในสังคมนี้ยังมีอีกหลายท่านที่เข้าใจผิด จึงขออนุญาตพูดแทนพี่น้องประชาชน

เหมืองทองคำไร้มลพิษ หลายคนเข้าใจผิด เพราะ 1.ประชาชนแถวนั้นอยู่กันได้ พืชผักที่ว่าปลูกกินไม่ได้ แท้จริงประชาชนกินได้ น้ำก็ดื่มได้ทุกวัน 2.ที่ว่ามีคนเสียชีวิตเพราะมลพิษของเหมืองเป็นเรื่องเท็จ จากการพิสูจน์เป็นเพราะโรคอื่น ไม่เกี่ยวกับมลพิษเลย 3.มหาวิทยาลัยที่ไปพิสูจน์เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีอคติ และกำลังถูกชาวบ้านฟ้องว่าไม่เป็นกลาง เข้าข้าง NGOs 4.คนงานเหมืองไม่เคยเสียชีวิตเลย ยังสามารถบริจาคโลหิตให้สภากาชาดไทยแทบทุกเดือน 5.มลพิษทางเสียง ฝุ่นก็ไม่มี นกยังมาทำรังที่บ่อกากแร่ซึ่งมีไซยาไนด์น้อยกว่าในบุหรี่และกาแฟ และ 6.ประชาชน 78% ต้องการเหมือง ถ้าไม่มีเหมืองชาวบ้านคงยากจนลง บ้านแตกสาแหรกขาด ต้องย้ายไปทำงานในเมือง ใครจะรับผิดชอบ? (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/envi.people)

เขื่อนแม่วงก์ เรื่องนี้ฝ่าย NGOs ใส่ร้ายป้ายสีอย่างหนัก แต่หาเป็นความจริงไม่ เพราะ 1.ไม่มีเสือรอบๆ มีแต่รีสอร์ตและชาวบ้านที่กางเต็นท์ ถ้ามีเสือจริงคงต้องพบรอยเสือ แต่รอยเสือที่พบอยู่ห่างไกลจากป่ามาก 2.บริเวณที่จะสร้างเขื่อน เดิมเป็นชุมชน มีชาวบ้านอยู่ 200-300 ครัวเรือน ยังมีต้นมะพร้าวเหลือไว้ ชาวบ้านถูกย้ายออกมาเพื่อรอสร้างเขื่อน แต่ยังอาศัยทางเข้าอุทยานฯจนถึงทุกวันนี้ 3.นกยูงที่แก่งลานนกยูง จริงๆแล้วถูกจับมาเลี้ยงเพื่อสร้างภาพ ไม่เคยมีนกยูงบริเวณนั้น

4.มีเขื่อนจะทำให้น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ ป่าไม้จะชอุ่ม สัตว์จะได้มีอาหารมากขึ้น ประชาชนได้ทั้งชลประทาน แก้น้ำท่วมฝนแล้ง ประมง ประปา ผลิตไฟฟ้าได้อีกด้วย รวมทั้งการท่องเที่ยวที่จะสมบูรณ์มากขึ้น 5.ทุกวันนี้ประชาชนเดือดร้อนหนัก ต้องขุดบ่อบาดาลที่มีแต่ขี้เหล็ก ดื่มไม่ได้ รดน้ำได้อย่างเดียว ฝนแล้ง น้ำท่วม รัฐบาลก็ชดเชยให้ไร่ละ 1,000-2,000 บาท ซึ่งนำเงินส่วนนี้มาสร้างเขื่อนได้เลย และ 6.ประชาชนส่วนใหญ่ 79% ต้องการเขื่อน ยิ่งเป็นชาวนาแทบจะ 100% เราควรเชื่อภูมิปัญญาชาวบ้าน อย่าไปเชื่อความดราม่าของ NGOs เลย (อ่านเพิ่มเติมที่ www.maewongdam.blogspot.com)

ป้อมมหากาฬ เรื่องนี้ดูประหนึ่งรัฐบาลรังแกประชาชน ไล่ที่ชาวบ้านที่ยากจนและน่าสงสาร แต่ความจริงกลับเป็นเรื่องของผู้อยากได้ผลประโยชน์อย่างขาดความน่าละอายหรือไม่ เพราะ 1.นับตั้งแต่มีมติให้ฟื้นฟูป้อมมหากาฬเมื่อปี 2502 ซึ่งหลายท่านยังไม่เกิด มีบ้านอยู่เพียง 20 หลัง ทยอยโอนและขายให้กรุงเทพมหานคร แต่กระบวนการต่างๆค่อนข้างช้า จึงมีผู้บุกรุกเข้ามาใหม่จนเป็น 100 ครอบครัวในภายหลัง ไม่ใช่ชุมชนโบราณที่เกิดมานับร้อยปีแบบชุมชนบ้านบุ ชุมชนนางเลิ้ง ชุมชนบ้านครัว หลายคนย้ายออกไปแล้วและได้รับการจัดหาที่อยู่ไปแล้ว รับเงินไปแล้ว แต่ย้ายกลับมาเรียกร้องผลประโยชน์อีก

2.คนที่อยู่มีทั้งที่ขายสินค้าหมิ่นเหม่ต่อกฎหมาย หาซื้อได้อย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย เช่น พลุ ดอกไม้ไฟ บ้างก็ให้เช่าบ้าน พวกนี้อยู่ฟรีมา 50-60 ปี ยังจะอยู่ต่อไปอีกชั่วกัลปาวสาน อย่างนี้เป็นการเอาเปรียบสังคมหรือไม่ 3.บางคนเอาเรื่องเท็จมาปั้นแต่ง เช่น มีบ้านตระกูลอึ๊งภากรณ์ในนี้ เป็นบ้านทรงไทย และ ดร.ป๋วยเคยอยู่ ทั้งที่เป็นของคนอื่น เพียงแต่คนในสกุล “อึ๊งภากรณ์” มาเป็นสะใภ้เท่านั้น ตระกูล ดร.ป๋วยเคยออกมาปฏิเสธว่าไม่จริง ที่ร้ายกว่านั้นคือ เจ้าของบ้านรับเงินไปแล้วและจะรื้อบ้าน แต่ผู้บุกรุกขาดคุณธรรมกลับไม่ยอมให้รื้อทั้งที่ไม่ใช่บ้านของตนเอง อ้างว่ามีลายฉลุเฉลาต่างๆ ซึ่งความจริงแกะไปขายกันหมดแล้ว (อ่านความจริงในแง่มุมต่างๆที่ http://bit.ly/2cg9W3y พร้อมบทความที่เกี่ยวเนื่องอื่น)

ทั้งหมดที่ผมเล่าให้ฟังนี้เป็นความจริง ผมไม่ได้เข้าข้างคนผิด เข้าข้างนายทุน จุดยืนของผมอยู่ที่ประชาชน โดยเฉพาะประชาชนส่วนใหญ่รอบเหมืองทองคำและใกล้เขื่อนแม่วงก์ ส่วนคนบุกรุกที่ป้อมมหากาฬเหลืออยู่ไม่ถึง 10 ครัวเรือน และไม่ใช่เจ้าของที่ ไม่ใช่เจ้าของบ้าน พวกนี้ไม่ใช่ไพร่เสื้อแดง ไม่ใช่มวลมหาประชาชนของ กปปส. แต่เป็นผู้ที่เอาเปรียบหวังครองสมบัติของคนทั้งชาติหรือไม่ ลองตรองกันดู

ช่วยพี่น้องประชาชนด้วยครับ อย่าให้พวกดราม่าครองเมือง


You must be logged in to post a comment Login