วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2567

น้ำในหูไม่เท่ากัน / โดย ผศ.พญ.สุวัจนา อธิภาส

On October 24, 2016

คอลัมน์ : พบหมอศิริราช
ผู้เขียน : ผศ.พญ.สุวัจนา อธิภาส

มีหลายท่านสงสัยว่าอยู่ดีๆเกิดอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน ลุกเดินไม่ได้ และเป็นอยู่บ่อยๆโดยไม่ทราบสาเหตุ จะเป็นอันตรายหรือไม่ ผู้มีอาการเหล่านี้ไม่ต้องกังวลค่ะ

ผู้ที่เป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากันจะมีอาการหลักที่ทำให้มาพบแพทย์คืออาการเวียนศีรษะ แต่อยากจะทำความเข้าใจว่า อาการเวียนศีรษะจริงๆแล้วเกิดได้จากสาเหตุอื่นๆมากมายนอกเหนือจากโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน แต่ถ้าเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากันจะต้องมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น รู้สึกแน่นในหู มีเสียงรบกวนในหู อาจดังต่อเนื่อง หรือดังเป็นพักๆ

บางรายรู้สึกเหมือนมีเสียงลมพัดอยู่ในหู ซึ่งอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน จะเป็นอยู่นานไม่ต่ำกว่า 20 นาทีจนถึงหลายชั่วโมง หรืออาจรุนแรงถึงขั้นคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย หลังจากนั้นอาจมึนงงทรงตัวลำบากต่อได้อีกหลายวัน นอกจากนี้ยังมีอาการหูอื้อ การได้ยินลดลง ผู้ป่วยจะมีอาการต่างๆเหล่านี้ราว 1-2 วัน แล้วค่อยๆดีขึ้นจนกลับมาเป็นปรกติ แล้วก็กลับมาเป็นซ้ำได้ ซึ่งความถี่ของอาการเวียนศีรษะจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

โรคนี้พบมากในช่วงอายุ 30-60 ปี ทั้งเพศชายและเพศหญิง ส่วนมากเป็นในหูข้างเดียว แต่ก็อาจเป็นทั้ง 2 หูได้

โรคน้ำในหูไม่เท่ากันเป็นภาวะที่มีน้ำในหูชั้นในคั่งหรือมีความดันเพิ่มขึ้น ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง แต่สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการสร้างน้ำในหูชั้นในมากขึ้น ท่อทางเดินน้ำในหูชั้นในแคบทำให้การไหลเวียนไม่สะดวก มีการดูดซึมน้ำในหูชั้นในกลับน้อยกว่าปรกติ หรือเกิดจากภาวะภูมิแพ้

การจะวินิจฉัยว่าเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากันต้องได้รับการตรวจโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จากการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจการได้ยิน ซึ่งมีเกณฑ์ในการวินิจฉัยแน่ชัด ไม่ใช่วินิจฉัยจากอาการเวียนศีรษะเพียงอย่างเดียว ในกรณีที่อาการไม่ชัดเจนอาจต้องอาศัยการตรวจพิเศษอื่นๆ เช่น ตรวจประสาททรงตัว ตรวจการได้ยินระดับก้านสมอง หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan หรือ MRI) สมองและหูชั้นใน

การรักษาหลักคือ รักษาอาการเวียนศีรษะ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ตามปรกติ แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงอาหารเค็ม พักผ่อนให้เพียงพอ และรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ผู้ป่วยส่วนใหญ่รับประทานยาแก้เวียนศีรษะได้ผลดี ทั้งนี้ การใช้ยาขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยแต่ละราย บางรายเพียงแต่รับประทานยาแก้อาการเวียนศีรษะเป็นครั้งคราว บางรายมีอาการเวียนศีรษะบ่อยจนรบกวนชีวิตประจำวัน อาจจำเป็นต้องรับประทานยาต่อเนื่องเป็นเดือนหรือเป็นปี ผู้ป่วยส่วนน้อยที่มีอาการรุนแรงรับประทานยาแล้วได้ผลไม่เต็มที่ แพทย์อาจพิจารณาฉีดยาเข้าไปในหูชั้นกลางเพื่อให้ยาซึมผ่านเข้าไปในหูชั้นใน หรือใช้วิธีการผ่าตัด

เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดจึงยังไม่มีวิธีป้องกันไม่ให้เกิดโรค และไม่ได้เป็นโรคที่ร้ายแรง ถ้าได้รับการรักษาอย่างถูกต้องต่อเนื่องก็จะควบคุมอาการเวียนศีรษะได้และสามารถใช้ชีวิตได้ตามปรกติ

ผู้ป่วยโรคน้ำในหูไม่เท่ากันควรลดภาวะเครียด ทำอารมณ์ให้แจ่มใส ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ที่สำคัญควรควบคุมอาหารเค็ม และบริหารประสาททรงตัว ซึ่งจะช่วยทำให้ควบคุมอาการเวียนศีรษะได้ดีขึ้น


You must be logged in to post a comment Login