- ตั้งสติให้ดี “โลกนี้ มีเกิด มีตาย”Posted 5 months ago
- อย่าหาเรื่องอยู่ร้อน นอนทุกข์Posted 5 months ago
- โลกธรรมPosted 5 months ago
- อนุโมทนา คนพิการสู้ชีวิตPosted 5 months ago
- สลายความเกลียดชังPosted 5 months ago
- สู้ดีกว่าลาโลกPosted 5 months ago
- ใช้คาถาพระพยอมบ้างPosted 5 months ago
- เสียงชื่นชมดีกว่าเขาด่าPosted 5 months ago
- ต้องใช้ยาแรงกับคนขายชาติPosted 5 months ago
- บทเรียนผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวPosted 5 months ago
การใช้พลังอารมณ์อย่างสร้างสรรค์

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 25 ก.ค. 68)
ชีวิตเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่ได้สร้าง หากใครมีคำถามเกี่ยวกับชีวิตและต้องการได้รับคำตอบที่ถูกต้องแท้จริงก็ต้องไปหาผู้สร้างชีวิตซึ่งเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากพระเจ้า การไปหาคำตอบจากผู้อื่นก็เหมือนกับคนที่ไปปรึกษาเรื่องคอมพิวเตอร์ที่ตัวเองไม่ได้สร้างกับช่างซ่อมรองเท้า
ต่อให้อัจฉริยะอย่างชาร์ลส ดาร์วินผู้สงสัยเรื่องชีวิตและออกเดินทางไกลเพื่อหาคำตอบที่มาของชีวิต แต่คำตอบที่เขาได้มากลับถูกความจริงทางวิทยาศาสตร์โต้แย้งจนหมดความน่าเชื่อถือ
สมัยชาร์ลส ดาร์วินยังมีชีวิต โลกมีคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอานที่ให้คำตอบในเรื่องที่มาของชีวิตมนุษย์ไว้แล้ว แต่ดาร์วินไม่เชื่อเอง เขาจึงเสียเวลาเกือบตลอดชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย
คัมภีร์กุรอานซึ่งเป็นวจนะของพระเจ้ายืนยันว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์และพระองค์ประกาศชัดว่าพระองค์จะให้มนุษย์เป็นผู้สืบทอดเผ่าพันธุ์มนุษย์บนโลกใบนี้ ดังนั้น พระองค์จึงสร้างมนุษย์คนแรกขึ้นมาจากดินและเป่าวิญญาณเข้าไปในดินนั้น ดินจึงมีชีวิตเป็นมนุษย์คนแรกขึ้นมามีนามว่าอาดัม
แต่ลำพังอาดัมผู้เป็นเพศชายอย่างเดียวไม่อาจทำหน้าที่สืบทอดเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้ พระองค์จึงสร้างมนุษย์เพศหญิงให้เป็นคู่ครองเพื่อทำหน้าที่แพร่ขยายเผ่าพันธุ์มนุษย์บนโลกใบนี้ ไม่เพียงมนุษย์เท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์สร้างขึ้นมาล้วนเป็นคู่เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าพระองค์เท่านั้นที่เป็นพระเจ้าหนึ่งเดียว
พระเจ้าไม่ใช่มนุษย์ การสร้างของพระเจ้าจึงไม่เหมือนมนุษย์ แค่เพียงพระองค์ประสงค์จะให้สิ่งใดเกิดขึ้น เพียงแค่พระองค์กล่าวว่า “จงบังเกิดขึ้น” สิ่งที่พระองค์ประสงค์ก็บังเกิดขึ้นมาทันที
เพื่อให้มนุษย์สืบทอดเผ่าพันธุ์ได้ พระองค์จึงบรรจุอารมณ์ทางเพศไว้ในตัวของมนุษย์ทั้งชายและหญิงเพื่อตอบสนองเจตนารมณ์ของพระองค์ อารมณ์นี้เป็นพลังที่ถูกโปรแกรมไว้ให้เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์เข้าสู่วัยดรุณอายุประมาณ 11-12 ขวบซึ่งจะเห็นได้จากการที่เด็กผู้ชายเริ่มมีอาการฝันเปียกและเด็กผู้หญิงเริ่มมีประจำเดือน มันเป็นพลังที่ดึงดูดมนุษย์เพศชายและเพศหญิงให้เขาหากันเพื่อตอบสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถสกัดกั้นพลังกามารมณ์นี้ได้เหมือนกับพลังน้ำที่ไหลบ่า ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุดก็คือการนำพลังอารมณ์นั้นมาใช้ประโยชน์โดยการแต่งงานเพื่อสร้างครอบครัว
การแต่งงานจึงเป็นเกียรติที่พระเจ้ามอบให้แก่มนุษย์เพียงเผ่าพันธุ์เดียว เป็นสิ่งที่แยกมนุษย์ออกจากสัตว์ และยังยกระดับสถานะของมนุษย์ให้สูงกว่าสัตว์โดยการให้มนุษย์ได้ปฏิบัติธรรมบางอย่างที่บ้าน เช่น ความรับผิดชอบ ความอดทนและการให้อภัย ความสุขทางกามารมณ์หลังแต่งงานจึงเป็นรางวัลตอบแทนที่พระเจ้ามอบให้แก่สามีภรรยาที่ตอบสนองเจตนารมณ์ของพระองค์
อิสลามไม่มีระบบนักพรตหรือนักบวช แต่อิสลามถือว่าศีล(ข้อห้าม)ไม่ได้อยู่ที่พระ ธรรมะ(ข้อปฏิบัติ)ไม่ได้อยู่ที่วัด ศีลและธรรมเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ไม่เพียงเท่านั้น การแต่งงานยังถือเป็นความเมตตาที่พระเจ้าประทานให้แก่คู่สมรสด้วย เพราะในตอนวัยเด็ก พ่อแม่เป็นผู้ดูแลจัดหาเสื้อผ้าอาหารตลอดจนการศึกษาให้แก่ลูก แต่เมื่อลูกโตขึ้น พ่อแม่ก็แก่ลงและจากโลกนี้ไปในที่สุด พระเจ้าจึงประทานคู่ครองให้แก่ชายหญิงเพื่อดูแลกันและกันต่อไปและสืบทอดเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่อไปตามเจตนารมณ์ของพระองค์
ด้วยเหตุนี้ อิสลามจึงส่งเสริมให้ชายและหญิงแต่งงานเมื่อมีความสามารถ เพราะอิสลามถือว่าการแต่งงานเป็นการใช้พลังอารมณ์ทางเพศอย่างสร้างสรรค์ และไม่ต้องกลัวความยากจน เพราะพระเจ้าได้ให้คำมั่นสัญญาว่าพระองค์จะประทานปัจจัยยังชีพแก่ทารกเกิดใหม่และพ่อแม่ที่ตอบสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า
You must be logged in to post a comment Login