- ตั้งสติให้ดี “โลกนี้ มีเกิด มีตาย”Posted 8 months ago
- อย่าหาเรื่องอยู่ร้อน นอนทุกข์Posted 8 months ago
- โลกธรรมPosted 8 months ago
- อนุโมทนา คนพิการสู้ชีวิตPosted 8 months ago
- สลายความเกลียดชังPosted 8 months ago
- สู้ดีกว่าลาโลกPosted 8 months ago
- ใช้คาถาพระพยอมบ้างPosted 8 months ago
- เสียงชื่นชมดีกว่าเขาด่าPosted 8 months ago
- ต้องใช้ยาแรงกับคนขายชาติPosted 8 months ago
- บทเรียนผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวPosted 8 months ago
คัมภีร์กุรอาน ที่มาของอารยธรรมอิสลาม
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 24 ต.ค. 68 )
วรรณกรรมคืองานเขียนที่มนุษย์รังสรรค์ขึ้นมาเพื่อถ่ายทอดความรู้และความสุนทรีย์เป็นตัวอักษรให้คนทั่วไปได้อ่านกัน วรรณกรรมจึงเป็นสิ่งสะท้อนถึงภูมิปัญญาและอารมณ์ของมนุษย์
วรรณกรรมมีทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง ร้อยแก้วเป็นงานเขียนปกติธรรมดาที่ข้อความแต่ละวรรคตอนถูกเรียกว่าประโยค ส่วนร้อยกรองประกอบด้วยโคลงและกลอนที่มีสัมผัสคำเป็นลักษณะเฉพาะและแบ่งเป็นบทซึ่งประกอบด้วยวรรคตอนที่เรียกว่า “บาท”
โคลงหรือกลอนในทุกภาษามีลักษณะเฉพาะของตัวเองซึ่งมนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้น คัมภีร์กุรอานก็เป็นวรรณกรรมที่ประกอบด้วยร้อยแก้วและร้อยกรอง แต่ทั้งหมดเป็นวจนะของพระเจ้าที่ถูกบันทึกไว้
เมื่อนบีมุฮัมมัดนำข้อความในคัมภีร์กุรอานมาอ่านให้ชาวเมืองมักก๊ะฮฺฟัง กวีชาวอาหรับผู้ทะนงในภาษาของตัวเองยังยอมรับว่าภาษาของคัมภีร์กุรอานเป็นภาษาชั้นสูงที่เกินกว่าความสามารถของพวกเขาที่จะแต่งขึ้นมาให้เหมือนได้ไม่ว่าจะเป็นร้อยแก้วหรือร้อยกรอง
ในแง่ของวรรณกรรม คัมภีร์กุรอานมีวรรคตอนเหมือนภาษาทั่วไป แต่วรรคตอนในคัมภีร์กุรอานไม่ถูกเรียกว่าประโยคหรือวรรคหรือโศลก แต่ถูกเรียกว่า “อายะฮฺ” (พหูพจน์คือ “อายาต”) ซึ่งแปลว่า “หลักฐาน, สัญญาณ, และ สิ่งมหัศจรรย์” ที่ยืนยันถึงการมีอยู่ของอัลลอฮฺ(พระเจ้า)ผู้ประทานคัมภีร์กุรอาน
คัมภีร์กุรอานประกอบด้วย 6,236 อายะฮฺที่มีทั้งสั้นและยาวไม่เท่ากันและในจำนวนนี้ถูกแบ่งออกเป็น 114 บท(ซูเราะฮฺ)ที่มีจำนวนอายะฮฺไม่เท่ากัน
ความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของคัมภีร์กุรอานคือเป็นคัมภีร์ที่อยู่ในภาษาอาหรับดั้งเดิม ไม่มีการสังคายนาหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขหลังสมัยของนบีมุฮัมมัด นอกจากนี้แล้ว คัมภีร์กุรอานยังมีมุสลิมทั่วโลกจำนวนหลายล้านคนสามารถท่องจำได้ทั้งหมดและถูกอ่านทุกวันทั้งจากตัวคัมภีร์หรืออ่านจากความจำ
แต่ที่สำคัญคือ แม้คัมภีร์กุรอานถูกประทานแก่นบีมุฮัมมัดผู้ไม่รู้หนังสือ แต่คัมภีร์กุรอานนี้เองที่เปลี่ยนแปลงชนเผ่าอาหรับที่ใช้ชีวิตดิบๆในทะเลทรายกลายเป็นผู้เริ่มต้นวางรากฐานอารยธรรมอิสลามในสามทวีปของโลกเป็นเวลานานกว่าพันปี
ในคัมภีร์กุรอานมีข้อความอายะฮฺหนึ่งที่จุดประกายให้ผู้ที่เข้าใจภาษาอาหรับเริ่มศึกษาค้นคว้าต่อจนทำให้ชาวอาหรับมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และมีส่วนทำให้เกิดยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการในยุโรป อายะฮฺนั้นมีความหมายว่า “เราจะให้พวกเขาเห็นอายาตของเราในฟากฟ้าและในตัวของพวกเขาเองจนกระทั่งเป็นที่ประจักษ์ชัดแก่พวกเขาว่าอัลกุรอานนั้นเป็นความจริง….” กุรอาน 41:53)
ข้อความตรงนี้เองที่ทำให้คนที่อ่านอายะฮฺในคัมภีร์กุรอานรู้ว่าอายะฮฺของพระเจ้าไม่ได้มีอยู่ในคัมภีร์กุรอานเท่านั้น แต่ในท้องฟ้าและในตัวของมนุษย์ยังมีอายะฮฺหรืออายาตของพระเจ้าอีกมากมาย มุสลิมที่เข้าใจภาษาจึงศึกษาอายาตของพระเจ้าในท้องฟ้าและต่อมาได้กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์
ส่วนผู้ศึกษาอายาตของพระเจ้าในตัวของมนุษย์ก็ได้รับความรู้ทางด้านสรีระวิทยา การแพทย์และการรักษาโรค บันทึกการศึกษาเหล่านี้ถูกบันทึกไว้เป็นตำราทางการแพทย์ที่ชาวยุโรปได้เรียนรู้และนำไปเป็นตำราอ้างอิงนานนับหลายร้อยปีก่อนยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ
แม้จะเป็นคัมภีร์ที่ถูกประทานมาเมื่อกว่า 1,400 ปีก่อน แต่คัมภีร์กุรอานก็มีบางอายะฮฺที่ดูเหมือนเป็นข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เพิ่งรู้ความจริงเมื่อโลกมีการประดิษฐ์เครื่องเอกซเรย์และอุลตราเซาด์ เช่น
“แล้วเราได้ทำให้เขาเป็นเชื้ออสุจิในที่พักอันมั่นคง(มดลูก) แล้วเราได้ทำให้อสุจิเป็นก้อนเลือด ก้อนเนื้อ แล้วทำก้อนเนื้อให้เป็นกระดูกแล้วหุ้มกระดูกนั้นด้วยเนื้อ แล้วเราได้เป่าวิญญาณให้เขากลายเป็นอีกรูปร่างหนึ่ง” (กุรอาน 23:14)
วิวัฒนาการในครรภ์ของทารกดังกล่าวข้างต้นนี้เป็นอายะฮฺหนึ่งของคัมภีร์กุรอานซึ่งถูกประทานเมื่อพันกว่าปีก่อน แต่เจตนาที่แท้จริงของคัมภีร์กุรอานต้องการบอกมนุษย์ว่าถ้ามนุษย์มีความรู้สูงและไม่เชื่อว่ามีโลกหลังความตาย สมองของมนุษย์ก็ไม่ต่างไปจากทารกในครรภ์ที่มองไม่เห็นโลกนอกครรภ์แม่ตัวเอง





You must be logged in to post a comment Login