- ตั้งสติให้ดี “โลกนี้ มีเกิด มีตาย”Posted 8 months ago
- อย่าหาเรื่องอยู่ร้อน นอนทุกข์Posted 8 months ago
- โลกธรรมPosted 8 months ago
- อนุโมทนา คนพิการสู้ชีวิตPosted 8 months ago
- สลายความเกลียดชังPosted 8 months ago
- สู้ดีกว่าลาโลกPosted 8 months ago
- ใช้คาถาพระพยอมบ้างPosted 8 months ago
- เสียงชื่นชมดีกว่าเขาด่าPosted 8 months ago
- ต้องใช้ยาแรงกับคนขายชาติPosted 8 months ago
- บทเรียนผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวPosted 8 months ago
ความศรัทธาสูงค่ากว่าชีวิต

คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 10 ต.ค. 68 )
พุทธภาษิตสอนว่า “บุคคลพึงสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ พึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต พึงสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม”
พุทธภาษิตดังกล่าวสอนเราว่าธรรมเป็นสิ่งมีค่ากว่าชีวิต ถ้า “ธรรมคือความดีและความจริง” มนุษย์พึงรักษาธรรมไว้ให้คงอยู่ตลอดไปแม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม
ธรรมสำคัญของศาสนาคริสต์และอิสลามคือความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวและการกลับไปหาพระองค์หลังความตาย
อับราฮัมมีความเชื่อมั่นในธรรมข้อนี้ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น เขายืนยันว่าพระเจ้าที่แท้จริงคือผู้สร้างจักรวาลและผู้วางกฎควบคุมทุกสิ่งในจักรวาล มิใช่รูปปั้นที่พ่อของเขาสร้างขึ้นมาขายให้คนไปกราบไหว้ ความศรัทธามั่นในเรื่องนี้ทำให้เขาถูกจับไปลงโทษด้วยการเผาทั้งเป็น แต่พระเจ้าได้คุ้มครองเขาให้รอดพ้นจากการถูกไฟเผาและต่อมาได้กลายเป็นบรรพบุรุษแห่งความศรัทธาของชาวยิว ชาวคริสเตียนและมุสลิม
ลูกหลานของอับราฮัมหลายคนที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นศาสนทูตล้วนสอนเรื่องความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวก่อนสอนเรื่องอื่น ไม่ต่างจากครูที่เริ่มสอนเลข 1 เมื่อเริ่มต้นสอนวิชาคณิตศาสตร์จนไม่มีมนุษย์คนใดไม่รู้จักเลข 1
ธรรมบัญญัติของโมเสสเริ่มต้นด้วยพระเจ้ามีองค์เดียวที่มนุษย์ต้องเคารพสักการะ แต่หลังสมัยโมเสส สาวกของเขากลับลืมพระเจ้าที่แท้จริงและหันไปเคารพสักการะสิ่งอื่น พระเจ้าจึงส่งเยซัสมายืนยันธรรมบัญญัติเดิมของโมเสส แต่หลังจากสมัยของเยซัสประมาณ 70 ปี ทฤษฎี “ตรีเอกานุภาพ” ได้ถูกสร้างขึ้นมาแทนความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว
อย่างไรก็ตาม ยังมีสาวกของเยซัสที่ยังคงรักษาความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวและความเชื่อในโลกหน้าอย่างมั่นคงแม้จะถูกกดขี่ข่มเหงหรือถูกทรมานเพียงใดก็ตาม ผู้ที่ยอมพลีชีพเพื่อรักษาความศรัทธานี้ในศาสนาคริสต์เรียกว่า “มรณสักขี” (martyr) และได้รับการยกย่องเป็น “บุญราศี”
ในประเทศไทยสมัยสงครามอินโดจีน ชาวไทยอีสานที่หันมารับนับถือศาสนาคริสต์หลายคนถูกเจ้าหน้าที่รัฐหวาดระแวงที่หันไปนับถือศาสนาของฝรั่งและถูกกดดันให้เปลี่ยนศาสนา แต่สาวกผู้ศรัทธาไม่ยอม จึงถูกสังหาร เมื่อความรู้ถึงสำนักวาติกันและมีการสอบสวนจนพบความจริง สาวกผู้ยอมพลีชีพเพื่อรักษาศาสนาของตนไว้จึงได้รับการยกย่องให้เป็นบุญราศี
หลังสมัยของเยซัส สาวกของเยซัสส่วนใหญ่หลงออกไปสู่ความเชื่อใน “ตรีเอกานุภาพ” ในขณะที่ผู้คนอีกส่วนหนึ่งในคาบสมุทรอาหรับกราบไหว้บูชารูปปั้นสารพัดรูปร่าง พระเจ้าจึงส่งนบีมุฮัมมัดมาตามคำวิงวอนของอับราฮัมเพื่อเรียกร้องผู้คนสู่ความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว
การเรียกร้องผู้คนมาสู่ความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวท่ามกลางผู้คนที่เสพติดการกราบไหว้บูชารูปปั้นมาเป็นเวลานานไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะบรรดาผู้นำชาวเมืองและพวกพ่อมดหมอผีที่มีอิทธิพลต่อผู้คนเสียผลประโยชน์ ดังนั้น ใครที่หันมาศรัทธาในพระองค์เดียวจะถูกทรมานเพื่อให้เลิกศรัทธา แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้คนยอมพลีชีพเพื่อรักษาไว้ซึ่งความศรัทธาของตัวเอง
ในประวัติศาสตร์อิสลามตอนต้น เมื่อยาซิรฺและสุมัยยะฮฺภรรยาของเขากับอัมมารฺลูกชายหันมาศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว ทั้งสามคนถูกทรมานเพื่อให้หันมากราบไหว้รูปปั้นในศาสนาเดิม แต่สองสามีภรรยาไม่ยอม จึงถูกสังหารต่อหน้าอัมมารฺผู้เป็นลูกชาย ทั้งสองจึงได้รับสถานะ “ชะฮีด” หรือผู้พลีชีพรายแรกเพื่อรักษาความศรัทธาในศาสนาของตนไว้ในประวัติศาสตร์อิสลาม
อัมมารฺรู้ดีว่ารางวัลตอบแทนสำหรับการพลีชีพมีค่าเพียงใด แต่เขาเชื่อว่าหากเขารักษาชีวิตของตัวเองไว้ เขายังสามารถแพร่ขยายความศรัทธาที่เขามีอยู่ในใจได้ เขาจึงตัดสินใจเลือกทำตามความต้องการของผู้กดขี่โดยที่ใจไม่ยอมรับ หลังจากนั้น เขาได้วิ่งไปหานบีมุฮัมมัดพร้อมน้ำตาอาบแก้มเพื่อเล่าเรื่องราวให้ท่านฟัง ท่านจึงปลอบใจเขาว่าพระเจ้าจะตัดสินสิ่งที่อยู่ในใจของเขาเอง
อัมมารฺเข้าร่วมในการทำสงครามต่อต้านผู้บูชาเจว็ดหลายครั้งในสมัยของนบีมุฮัมมัด หลังจากนั้น เขาได้ร่วมทำสงครามอีกหลายครั้งและเสียชีวิตในสนามรบ
You must be logged in to post a comment Login