- ตั้งสติให้ดี “โลกนี้ มีเกิด มีตาย”Posted 7 months ago
- อย่าหาเรื่องอยู่ร้อน นอนทุกข์Posted 7 months ago
- โลกธรรมPosted 7 months ago
- อนุโมทนา คนพิการสู้ชีวิตPosted 7 months ago
- สลายความเกลียดชังPosted 7 months ago
- สู้ดีกว่าลาโลกPosted 7 months ago
- ใช้คาถาพระพยอมบ้างPosted 7 months ago
- เสียงชื่นชมดีกว่าเขาด่าPosted 7 months ago
- ต้องใช้ยาแรงกับคนขายชาติPosted 7 months ago
- บทเรียนผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวPosted 8 months ago
ชีวิตบนเส้นตรงของกาลเวลา

คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 26 ก.ย. 68 )
มนุษย์เป็นสิ่งถูกสร้างที่มีทั้งร่างกายและวิญญาณประกอบขึ้นเป็นชีวิต ร่างกายของมนุษย์เป็นสิ่งชั่วคราว แต่วิญญาณไม่สลายไปกับร่างกายเมื่อมันออกจากร่างมนุษย์ไป มันยังต้องเดินทางต่อไปสู่โลกหลังความตาย
มนุษย์มีความรู้มากมายในเรื่องสุขภาพร่างกาย แต่ความรู้เรื่องวิญญาณมนุษย์มีความรู้น้อยมากทั้งๆที่มันคือชีวิตที่แท้จริงของมนุษย์ ความรู้เรื่องวิญญาณจึงมีความสำคัญสำหรับมนุษย์ ความเชื่อผิดๆในเรื่องวิญญาณมีส่วนสำคัญที่ทำให้มนุษย์หลงผิดติดบ่วงอวิชชาและไม่สามารถปลดมลทินบางอย่างออกจากจิตใจได้
หลายคนเชื่อว่าวิญญาณของคนที่ตายไปจะกลับมาเยี่ยมครอบครัวเพราะความห่วงใย จึงจัดพิธีทำบุญรับการมาเยือนของวิญญาณผู้ล่วงลับ ฟาโรห์เชื่อว่าวิญญาณของเขาจะกลับมายังร่างของเขาอีก จึงสะสมทรัพย์สมบัติไว้มากมายในระหว่างมีชีวิตด้วยการกดขี่ขูดรีดประชาชน
ความรู้ในเรื่องวิญญาณไม่มีในตำราวิทยาศาสตร์เพราะมนุษย์ไม่ได้เป็นผู้สร้างวิญญาณ ถ้าต้องการความรู้เรื่องนี้ต้องศึกษาจากศาสนาที่มาจากพระเจ้าผู้สร้างมนุษย์ขึ้นมาเท่านั้น
วิญญาณที่มนุษย์เชื่อว่ามีแต่มองไม่เห็นเป็นสิ่งที่ยืนยันว่ากาลเวลาเดินทางเป็นเส้นตรงเหมือนกับแสง และชีวิตมนุษย์ทุกคนเดินทางบนเส้นตรงของกาลเวลา เวลาของชีวิตจึงไม่ใช่วงกลม การเวียนว่ายตายเกิดซึ่งเป็นวฏจักรของชีวิตมนุษย์ก็เป็นเพียงปมเล็กๆบนเส้นด้ายของกาลเวลาที่มนุษย์ไม่รู้ว่าปลายสองข้างของมันไปสิ้นสุดที่ไหน
เมื่อมนุษย์คลอดออกมาจากท้องแม่และไม่สามารถมุดหัวกลับเข้าไปสู่โลกแห่งครรภ์มารดาได้ฉันใด วิญญาณที่ออกจากโลกนี้ไปแล้วก็ไม่สามารถหวนกลับมาสู่โลกนี้ได้อีกฉันนั้น คนตายแล้วไม่ทะเลาะกัน ไม่หักหลังคดโกงกันเพราะไม่มีวิญญาณอยู่ในร่าง ดังนั้น วิญญาณต่างหากที่บงการแขนขา หูตาให้ทำความดีหรือความชั่ว ถ้ามนุษย์คิดว่าการตายของมนุษย์เหมือนกับสัตว์ที่ไม่ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำไว้ ความฉิบหายจะแพร่ระบาดในสังคมอย่างรวดเร็วและกฎหมายไม่สามารถควบคุมมนุษย์ที่คิดเช่นนี้ได้
สิงโตห้าตัวในสวนสัตว์ที่รุมกัดคนให้อาหารมันจนตายไม่ต้องถูกนำตัวขึ้นศาลเพราะมันไม่มีสติปัญญาและเสรีภาพในการเลือก แต่มนุษย์ไม่ใช่สัตว์ มนุษย์จึงต้องรับผิดชอบต่อบาปกรรมความชั่วที่ตัวเองทำไว้ ถึงกฎหมายไม่สามารถนำตัวไปลงโทษในโลกนี้เพราะร่างกายสลายเป็นธุลีไปแล้ว แต่วิญญาณซึ่งเป็นชีวิตที่แท้จริงยังอยู่และพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของวิญญาณจะจัดการลงโทษเอง เพราะพระเจ้าทรงยุติธรรม
ไม่มีเครื่องมือวิทยาศาสตร์ใดๆสามารถมองเห็นวิญญาณได้ จนทุกวันนี้จึงไม่มีใครรู้ว่าวิญญาณเข้าและออกจากร่างกายอย่างไร พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ แต่พระองค์ได้ให้นบีมุฮัมมัดมาบอกว่าวิญญาณที่ทำความดีและมีความศรัทธาในพระเจ้าจะออกจากร่างกายอย่างสะดวกเหมือนกับน้ำที่ไหลออกจากพวยกาและจะมีทูตสวรรค์นำผ้าขาวที่มีกลิ่นหอมมาห่อหุ้มขึ้นไปสู่ชั้นฟ้า ส่วนวิญญาณที่ทำความเลวและไม่มีความศรัทธาในพระเจ้าจะออกจากร่างเหมือนกับสำลีหรือนุ่นที่ถูกเหล็กย่างเนื้อที่เกรอะกรังแทงเข้าไปและดึงออกมา หลังจากนั้นจะมีทูตสวรรค์นำผ้าที่มีกลิ่นเหม็นมารับวิญญาณขึ้นไปสู่ชั้นฟ้าเบื้องบน
วิญญาณจะถูกนำกลับมายังโลกนี้อีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ได้เห็นร่างกายของตัวเองถูกชำระล้าง เมื่อศพถูกนำไปฝัง วิญญาณจะอยู่ในโลกแห่งหลุมฝังศพซึ่งเป็นโลกที่คั่นกลางระหว่างโลกนี้และโลกหน้าเพื่อรอวันการฟื้นคืนชีพมารับการพิพากษาที่จะเกิดขึ้นเมื่อวันอวสานของโลกมาถึง
คัมภีร์กุรอานกล่าวว่าในวันแห่งการพิพากษา “ใครที่ทำความดีแม้เพียงอณูหนึ่งก็จะได้เห็นมันและใครที่ทำความชั่วแม้เพียงอณูหนึ่งก็จะได้เห็นมัน” (กุรอาน 99:7-8)
ในศาลของพระเจ้าไม่ต้องอาศัยพยานเพราะบันทึกหลักฐานการกระทำของมนุษย์ได้ถูกทูตสวรรค์บันทึกและนำส่งพระเจ้าทุกสัปดาห์ ไม่เพียงเท่านั้นอวัยวะทุกส่วนของร่างกายมนุษย์จะเป็นพยานให้เองด้วย
ชะตากรรมของวิญญาณมนุษย์แต่ละคนจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินของพระเจ้าและวิญญาณจะต้องแบกชะตากรรมนั้นต่อไปบนเส้นด้ายของกาลเวลาที่ไม่รู้ว่าปลายของมันอยู่ที่ไหน
You must be logged in to post a comment Login