วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2568

CK เฟ้อฝันรึ ไทยทำอสังหาฯ เกษตร ได้รึ

On October 28, 2025

คอลัมน์ :โลกอสังหาฯ

ผู้เขียน : ดร.โสภณ พรโชคชัย

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 28 ต.ค.  68)

ความเพ้อฝันของ CK: ทำไม “สร้างอำนาจต่อรองบนเวทีโลกโดยปลูกข้าวโพด” จึงเป็นไปไม่ได้ โดยเมื่อไม่นานมานี้คุณ CK Cheong มีการนำแนวคิดที่ว่า ถ้าหากไทยปลูกข้าวโพดอาหารสัตว์ ไทยจะมีอำนาจต่อรองในเวทีโลกได้ โดยกล่าวอ้างว่าหากประเทศไทยแก้ไขปัญหาการจัดการน้ำ ปรับปรุงระบบปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ และนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ ประเทศไทยจะสามารถเพิ่มผลผลิตข้าวโพดได้ถึง 36 ตันต่อเฮกตาร์ต่อปี และกลายเป็นผู้ส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รายใหญ่ของโลกจนสามารถควบคุมราคาได้ เหมือนกับที่ซาอุดีอาระเบียควบคุมราคาน้ำมัน จนถึงขั้นที่ว่าชาติมหาอำนาจของโลกยังต้องเกรงใจไทยถึงกับว่า “ทรัมป์ต้องเรียกมาคุย”

แนวคิดนี้นอกจากเป็นไปไม่ได้ แต่ยังอาจนำไปสู่วิกฤตความมั่นคงอาหารและเศรษฐกิจที่ร้ายแรงของประเทศ บทความนี้จะวิเคราะห์อย่างละเอียดว่าทำไมข้อเสนอดังกล่าวจึงเป็นไปไม่ได้จริง โดยเน้นที่ข้อจำกัดใหญ่หลวงที่สุด นั่นคือ

ปัญหาเรื่องที่ดิน

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่ดินเกษตรของไทย ตามข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปีเพาะปลูก 2566 ครัวเรือนเกษตรไทยมีจำนวนประมาณ 5.9 ล้านครัวเรือน โดยแต่ละครัวเรือนถือครองและใช้ประโยชน์ที่ดินเฉลี่ยครัวเรือนละ 24.97 ไร่ เมื่อคำนวณรวมทั้งประเทศ จะได้ว่าที่ดินเกษตรทั้งหมดมีประมาณ 147.3 ล้านไร่ หรือ 23.6 ล้านเฮกตาร์

ประเด็นสำคัญยิ่งกว่านั้นคือ จากที่ดินทั้งหมดนี้ มีที่ดินที่ใช้ประโยชน์ทางด้านการเกษตรจริงถึง 24.27 ไร่ต่อครัวเรือน หรือคิดเป็น 97.2 เปอร์เซ็นต์ของที่ดินทั้งหมด เมื่อคำนวณในระดับประเทศ หมายความว่าที่ดินเกษตรที่กำลังถูกใช้งานอยู่มีจำนวน 143.2 ล้านไร่ หรือ 22.9 ล้านเฮกตาร์ ที่เหลืออีก 2.8 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 4.1 ล้านไร่นั้น เป็นที่ดินที่ใช้ประโยชน์นอกการเกษตร เช่น ที่ให้ผู้อื่นเช่าหรือให้ทำฟรี

เมื่อจำแนกการใช้ที่ดินเกษตร จากพื้นที่ 24.27 ไร่ที่ใช้ทำการเกษตร พบว่าครัวเรือนเกษตรใช้ที่ดินปลูกข้าวโดยเฉลี่ย 11.82 ไร่ต่อครัวเรือน ซึ่งเมื่อคำนวณในระดับประเทศแล้วจะได้พื้นที่ปลูกข้าวทั้งหมดประมาณ 69.7 ล้านไร่ หรือ 11.2 ล้านเฮกตาร์ คิดเป็น 48.7 เปอร์เซ็นต์ของที่ดินเกษตรทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีการใช้ที่ดินปลูกพืชไร่อื่นๆ เช่น ข้าวโพด อ้อย และมันสำปะหลัง โดยเฉลี่ย 5.11 ไร่ต่อครัวเรือน หรือรวมทั้งประเทศประมาณ 30.1 ล้านไร่ การปลูกไม้ผลและไม้ยืนต้น เช่น ทุเรียน ลำไย ปาล์มน้ำมัน และยางพารา ใช้พื้นที่โดยเฉลี่ย 5.03 ไร่ต่อครัวเรือน ส่วนที่เหลือเป็นการปลูกพืชผัก ไม้ดอกไม้ประดับ และการเลี้ยงสัตว์

ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นความจริงข้อหนึ่ง นั่นคือ ที่ดินเกษตรของไทยถูกใช้งานไปแล้วเกือบเต็มพื้นที่ เหลือพื้นที่ว่างเพียง 2.8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งพื้นที่นี้ไม่ได้หมายความว่าสามารถนำมาใช้ปลูกข้าวโพดได้ทั้งหมด เพราะบางส่วนอาจเป็นที่ดินที่ไม่เหมาะสมสำหรับการเกษตร หรือมีข้อจำกัดด้านกรรมสิทธิ์ หรือตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ไม่สะดวกต่อการทำการเกษตร

ปัญหาแรก: ที่ดินไม่เพียงพอต่อการทำเกษตร คุณ CK บอกว่าไทยควรปลูกข้าวโพดเพื่อแข่งขันกับสหรัฐอเมริกา แต่เราจำเป็นต้องเข้าใจตัวเลขที่เป็นจริงก่อน สหรัฐอเมริกาผลิตข้าวโพดประมาณ 350 ถึง 385 ล้านตันต่อปี คิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของการผลิตข้าวโพดทั้งหมดของโลก โดยใช้พื้นที่ปลูกประมาณ 86 ล้านเอเคอร์ หรือ 34.8 ล้านเฮกตาร์ ผลผลิตเฉลี่ยต่อเฮกตาร์ของสหรัฐอยู่ที่ประมาณ 11 ตันต่อเฮกตาร์ (หรือ 12 ตันตามที่ผู้เสนอกล่าวอ้าง)

ในทางตรงกันข้าม ประเทศไทยปัจจุบันผลิตข้าวโพดประมาณ 5 ถึง 6 ล้านตันต่อปี โดยมีผลผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 3 ถึง 4 ตันต่อเฮกตาร์ ซึ่งต่ำกว่าสหรัฐอเมริกาประมาณสามเท่า ความแตกต่างนี้ไม่ได้เกิดจากการขาดน้ำหรือแสงแดดเท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยอีกหลายประการที่เราจะวิเคราะห์กันต่อไป

หากเราต้องการผลิตข้าวโพดให้ได้เท่ากับสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็คือ 385 ล้านตัน เราต้องคำนวณว่าจำเป็นต้องใช้ที่ดินเท่าใด มาดูกันทีละสถานการณ์ โดยสถานการณ์แรก สมมติว่าเราสามารถเพิ่มผลผลิตต่อเฮกตาร์ของไทยให้ทัดเทียมกับสหรัฐอเมริกา คือ 11 ตันต่อเฮกตาร์ (ซึ่งผู้เสนอแนวคิดอ้างว่าหากเราปลูก 3 รอบจะได้ 36 ตัน แต่สมมติฐานนี้จะกล่าวถึงทีหลัง) ในกรณีนี้ เราจะต้องการพื้นที่ปลูกทั้งสิ้น 35 ล้านเฮกตาร์ เพื่อผลิตข้าวโพด 385 ล้านตัน แต่ประเทศไทยมีที่ดินเกษตรทั้งหมดเพียง 22.9 ล้านเฮกตาร์เท่านั้น นั่นหมายความว่าแม้เราจะใช้ที่ดินเกษตรทุกตารางเมตรของประเทศ เราก็ยังขาดที่ดินอีก 12.1 ล้านเฮกตาร์ หรือคิดเป็น 53 เปอร์เซ็นต์ของที่ดินที่ต้องการ หรือพูดอีกนัยหนึ่ง เราต้องการที่ดินมากกว่าที่มีอยู่ถึง 1.5 เท่า

สถานการณ์ที่สองที่สมจริงกว่า คือการใช้ผลผลิตเฉลี่ยปัจจุบันของไทยในการคำนวณ ซึ่งอยู่ที่ 3.5 ตันต่อเฮกตาร์ หากเราต้องการผลิตข้าวโพด 385 ล้านตัน เราจะต้องการพื้นที่ปลูกทั้งสิ้น 110 ล้านเฮกตาร์ นี่คือตัวเลขที่น่าตกตะลึง เพราะมันมากกว่าที่ดินเกษตรทั้งหมดของไทยถึง 4.8 เท่า หรือพูดอีกแบบหนึ่ง แม้เราจะเอาที่ดินทุกไร่ในประเทศมาปลูกข้าวโพด เราก็ยังขาดที่ดินอีกเกือบ 87 ล้านเฮกตาร์

บางคนอาจโต้แย้งว่าเราไม่จำเป็นต้องผลิตให้เท่ากับสหรัฐอเมริกาทุกประการ แต่เพียงใช้ที่ดินที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด มาลองดูสถานการณ์ที่สาม สมมติว่าเราใช้ที่ดินเกษตรทั้งหมด 22.9 ล้านเฮกตาร์มาปลูกข้าวโพด โดยใช้ผลผลิตเฉลี่ยปัจจุบันของไทย คือ 3.5 ตันต่อเฮกตาร์ เราจะได้ผลผลิตข้าวโพดทั้งสิ้น 80.2 ล้านตัน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นจำนวนที่มากมายมหาศาล แต่เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกา ตัวเลขนี้คิดเป็นเพียง 20.8 เปอร์เซ็นต์ของการผลิตของสหรัฐเท่านั้น

นั่นหมายความว่า แม้เราจะเอาที่ดินเกษตรทุกตารางเมตรของประเทศมาปลูกข้าวโพด เราก็ยังผลิตได้แค่หนึ่งในห้าของสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ซึ่งจำนวนนี้แทบไม่มีนัยสำคัญใดๆ ต่อตลาดโลกเลย เพราะการผลิตข้าวโพดของโลกในปี 2023 อยู่ที่ประมาณ 1,200 ล้านตัน การที่เราผลิตเพิ่มอีก 80 ล้านตันนั้นคิดเป็นเพียง 6.7 เปอร์เซ็นต์ของตลาดโลกเท่านั้น จำนวนนี้ไม่เพียงพอที่จะให้เรามีอำนาจต่อรองในการควบคุมราคาแต่อย่างใด แต่ที่สำคัญกว่านั้น ถ้าเราใช้ที่ดินทั้งหมดปลูกข้าวโพด แล้วพืชอื่นๆ จะอยู่ที่ไหน?

ราคาที่ต้องจ่ายจากการเอาที่ดินทั้งหมดมาปลูกข้าวโพด

สมมติฐานที่จะเอาที่ดินเกษตรทั้งหมดมาปลูกข้าวโพดนั้น ไม่เพียงแต่เพ้อฝัน แต่ยังอันตรายต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อเราคำนวนถึงการใช้ที่ดินปัจจุบัน จะพบว่าข้าวเพียงอย่างเดียวใช้พื้นที่ถึง 11.2 ล้านเฮกตาร์ หรือเกือบครึ่งหนึ่งของที่ดินเกษตรทั้งหมด

ข้าวไม่ใช่แค่พืชเศรษฐกิจธรรมดา แต่คืออาหารหลักที่หล่อเลี้ยงคนไทยมาหลายร้อยปี คนไทยบริโภคข้าวเฉลี่ยประมาณ 100 ถึง 120 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ด้วยประชากร 70 ล้านคน เราจึงต้องการข้าวสำหรับบริโภคภายในประเทศอย่างน้อย 7 ถึง 8.4 ล้านตันต่อปี ปัจจุบันไทยผลิตข้าวได้ประมาณ 22.2 ล้านตันต่อปี หลังจากหักการบริโภคภายในประเทศแล้ว เรายังสามารถส่งออกข้าวได้ 7 ถึง 8 ล้านตันต่อปี ทำให้ไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับต้นๆ ของโลก มูลค่าการส่งออกข้าวของไทยอยู่ที่ประมาณ 100,000 ถึง 120,000 ล้านบาทต่อปี

หากเราตัดสินใจเอาที่ดินทั้งหมดมาปลูกข้าวโพด ข้าวจะหายไปทันที เราจะต้องนำเข้าข้าวอย่างน้อย 10 ล้านตันต่อปีเพื่อเลี้ยงประชากรของเราเอง ด้วยราคาข้าวในตลาดโลกที่อยู่ที่ประมาณ 400 ถึง 500 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เราจะต้องใช้เงินประมาณ 4,000 ถึง 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 140,000 ถึง 175,000 ล้านบาทต่อปีในการนำเข้าข้าว นี่ยังไม่นับรวมความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางอาหาร หากเกิดวิกฤตการค้าโลก สงคราม หรือภัยธรรมชาติที่ส่งผลต่อซัพพลายเชนการค้าข้าว ประชาชนไทยอาจเผชิญกับการขาดแคลนอาหารได้

แต่ข้าวไม่ใช่เพียงพืชเดียวที่จะหายไป ที่ดินสำหรับปลูกไม้ผลและไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าสูง เช่น ทุเรียน ลำไย มังคุด ยางพารา และปาล์มน้ำมัน ซึ่งใช้พื้นที่รวมกันประมาณ 29.7 ล้านไร่ หรือ 4.8 ล้านเฮกตาร์ จะต้องถูกเปลี่ยนเป็นไร่ข้าวโพดเช่นกัน ทุเรียนไทยเพียงอย่างเดียวมีมูลค่าการส่งออกประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปี ยางพารามีมูลค่าประมาณ 100,000 ล้านบาทต่อปี มันสำปะหลังที่ใช้พื้นที่ในหมวดพืชไร่อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออกประมาณ 40,000 ล้านบาทต่อปี และปาล์มน้ำมันมีมูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปี

เมื่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน การเปลี่ยนที่ดินเกษตรทั้งหมดมาปลูกข้าวโพดจะทำให้เราสูญเสียรายได้จากการส่งออกสินค้าเกษตรอื่นๆ มากกว่า 200,000 ล้านบาทต่อปี นี่ยังไม่รวมถึงความเสียหายต่ออุตสาหกรรมแปรรูป งานบริการ และการจ้างงานในภาคเกษตรที่เกี่ยวข้อง

คำถามที่สำคัญคือ เราจะได้อะไรกลับมาจากข้าวโพด 80 ล้านตัน หากคำนวณด้วยราคาข้าวโพดในตลาดโลกที่ประมาณ 200 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน รายได้จากการขายข้าวโพดทั้งหมดจะอยู่ที่ประมาณ 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 560,000 ล้านบาท ตัวเลขนี้ดูมากมายมหาศาล แต่เราต้องอย่าลืมว่านี่เป็นรายได้รวม ไม่ใช่กำไร

เมื่อหักต้นทุนการผลิตที่สูงมากของไทยซึ่งเราจะอธิบายในส่วนถัดไป บวกกับการสูญเสียรายได้จากพืชอื่นๆ มากกว่า 200,000 ล้านบาท บวกกับต้นทุนการนำเข้าข้าวอีก 140,000 ถึง 175,000 ล้านบาท บวกกับความเสียหายต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม บวกกับความเสี่ยงด้านความมั่นคงอาหาร เราจะเห็นภาพชัดเจนว่านี่ไม่ใช่ข้อเสนอที่สมเหตุสมผลเลยแม้แต่น้อย

ทางเลือกที่ดูเหมือนจะสมจริงกว่า: ใช้เฉพาะที่ดินข้าว

บางคนอาจแย้งว่าการเอาที่ดินทั้งหมดมาปลูกข้าวโพดนั้นมันสุดโต่งเกินไป แล้วถ้าเราใช้เพียงที่ดินข้าวบางส่วนมาปลูกข้าวโพดแทนล่ะ มาลองดูตัวเลขกัน หากเราตัดสินใจลดพื้นที่ปลูกข้าวลง 50 เปอร์เซ็นต์ นั่นหมายความว่าเราจะใช้ที่ดินประมาณ 5.6 ล้านเฮกตาร์มาปลูกข้าวโพดเพิ่มเติม ด้วยผลผลิตเฉลี่ย 3.5 ตันต่อเฮกตาร์ เราจะได้ข้าวโพดเพิ่มขึ้นประมาณ 19.6 ล้านตัน ซึ่งเมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกาคิดเป็นเพียง 5.1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น จำนวนนี้ก็ยังคงน้อยเกินไปที่จะทำให้เรามีอำนาจต่อรองใดๆ ในตลาดโลก

แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือผลกระทบต่อการผลิตข้าว ด้วยพื้นที่ปลูกข้าวที่เหลือเพียง 5.6 ล้านเฮกตาร์ และผลผลิตเฉลี่ย 1.98 ตันต่อเฮกตาร์ เราจะผลิตข้าวได้เพียง 11.1 ล้านตันต่อปี จำนวนนี้เพียงพอสำหรับการบริโภคภายในประเทศ 10 ถึง 11 ล้านตันต่อปี แต่เราจะไม่มีข้าวเหลือส่งออกเลย หรือมีเหลือส่งออกเพียงเล็กน้อย ไทยจะสูญเสียรายได้จากการส่งออกข้าวประมาณ 100,000 ถึง 120,000 ล้านบาทต่อปี และสูญเสียสถานะเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก

นอกจากนี้ ด้วยกฎของอุปสงค์และอุปทาน เมื่อปริมาณข้าวในตลาดภายในประเทศลดลงครึ่งหนึ่ง ขณะที่ความต้องการของผู้บริโภคยังคงเท่าเดิม ราคาข้าวในประเทศจะพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก อาจสูงขึ้นถึง 100 ถึง 200 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยที่ใช้จ่ายสัดส่วนสูงของรายได้กับอาหาร สถานการณ์นี้จะลุกลามไปสู่ปัญหาทางสังคมและภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรง

ข้อจำกัดที่ไม่สามารถแก้ไขได้

ความแตกต่างพื้นฐานระหว่างไทยและอเมริกา แม้ว่าเราจะมีที่ดินเพียงพอ ซึ่งชัดเจนว่าเราไม่มี ก็ยังมีข้อจำกัดพื้นฐานหลายประการที่ทำให้การปลูกข้าวโพดในประเทศไทยไม่สามารถแข่งขันกับสหรัฐอเมริกาได้ ข้อจำกัดเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการขาดน้ำ หรือเทคโนโลยี เพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ประการแรก คือ ขนาดของฟาร์ม ตามข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เกษตรกรไทยถือครองที่ดินเฉลี่ยเพียง 24.97 ไร่ต่อครัวเรือน หรือประมาณ 4 เฮกตาร์ หรือ 10 เอเคอร์ ในทางตรงกันข้าม ขนาดฟาร์มเฉลี่ยในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ประมาณ 445 เอเคอร์ หรือ 180 เฮกตาร์ นั่นหมายความว่าฟาร์มในสหรัฐใหญ่กว่าฟาร์มในไทยประมาณ 45 เท่า และสำหรับฟาร์มที่ปลูกข้าวโพดโดยเฉพาะ (เช่นในรัฐ Wisconsin ที่คุณ CK ยกมา ) ขนาดเฉลี่ยมักจะใหญ่กว่านี้ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 700 ถึง 1,000 เอเคอร์ หรือใหญ่กว่าฟาร์มไทยถึง 70 ถึง 100 เท่า

ความแตกต่างในขนาดฟาร์มนี้ไม่ใช่เพียงตัวเลขทางสถิติ แต่มันส่งผลสะเทือนโดยตรงต่อต้นทุนการผลิต ผ่านสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “Economies of Scale” หรือ “การประหยัดต่อขนาด” เมื่อฟาร์มมีขนาดใหญ่ ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยจะลดลง เพราะต้นทุนคงที่ เช่น เครื่องจักร โกดังเก็บผลผลิต ระบบชลประทาน และแม้แต่ค่าใช้จ่ายในการจัดการ สามารถกระจายไปยังผลผลิตที่มากขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น รถแทรกเตอร์สมัยใหม่ของบริษัท John Deere ที่คุณ CK กล่าวถึง รุ่นที่ใช้เทคโนโลยี GPS และสามารถขับเคลื่อนด้วยระบบอัตโนมัติ มีราคาประมาณ 500,000 ถึง 800,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 17 ถึง 28 ล้านบาท สำหรับเกษตรกรอเมริกันที่มีพื้นที่ 1,000 เอเคอร์ การลงทุนนี้คุ้มค่า เพราะเมื่อคำนวณเป็นต้นทุนต่อเอเคอร์แล้ว อยู่ที่เพียง 500 ถึง 800 ดอลลาร์ต่อเอเคอร์ และแทรกเตอร์นี้สามารถใช้งานได้หลายปี ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น ทั้งความรวดเร็ว ความแม่นยำในการปลูก และการประหยัดแรงงาน ทำให้การลงทุนนี้คืนทุนได้ในไม่กี่ปี

แต่สำหรับเกษตรกรไทยที่มีพื้นที่เพียง 25 ไร่ หรือประมาณ 16 เอเคอร์ การลงทุนในแทรกเตอร์มูลค่า 20 ล้านบาทนั้นไม่มีทางคุ้มค่าเลย แม้จะคำนวณเป็นต้นทุนต่อเอเคอร์ก็จะสูงถึง 1.25 ล้านบาทต่อเอเคอร์ และที่สำคัญคือแทรกเตอร์ขนาดใหญ่เหล่านี้ไม่เหมาะสมกับที่ดินขนาดเล็กที่มักจะแบ่งเป็นแปลงย่อยๆ และอาจมีขนาดหรือรูปร่างที่ไม่สม่ำเสมอ

ประการที่สอง คือ ภูมิประเทศ (Topography) และคุณภาพดิน ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผู้เสนอแนวคิดนี้เน้นย้ำว่าไทยมี “แสงแดด” และ “น้ำ” แต่เขาลืมปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเพาะปลูก นั่นคือ “ผืนดิน” ที่เรายืนอยู่

  • สหรัฐอเมริกา: พื้นที่ “Corn Belt” (เช่น ไอโอวา, อิลลินอยส์, หรือ Wisconsin ที่ถูกอ้างถึง ) คือที่ราบ Great Plains ที่มีลักษณะแบนราบต่อเนื่องกันเป็นผืนมหึมา (Vast Contiguous Plains) ดินในแถบนั้นคือดิน “Mollisols” ซึ่งเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลก มีหน้าดินดำลึกและเก็บกักธาตุอาหารได้ดีเยี่ยม ภูมิประเทศที่แบนราบนี้เองที่เอื้อให้เทคโนโลยีอย่างรถแทรกเตอร์ John Deere ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ฟาร์มขนาด 1,000 เอเคอร์ คือสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ผืนเดียว ที่รถแทรกเตอร์ GPS สามารถวิ่งเป็นเส้นตรงได้หลายกิโลเมตรโดยไม่ต้องเลี้ยว
  • ประเทศไทย: พื้นที่เกษตรหลัก โดยเฉพาะในภาคอีสานที่ผู้เสนอแนวคิดกล่าวถึง ไม่ใช่ที่ราบ แต่เป็น “ที่ราบสูงโคราช” (Khorat Plateau) ซึ่งมีลักษณะเป็นที่ดอนลอนคลื่น (Undulating Hills) ไม่ต่อเนื่องกัน ที่ดินถูกแบ่งซอยเป็นแปลงเล็กแปลงน้อยตามธรรมชาติ ดินในภาคอีสานส่วนใหญ่เป็นดินร่วนปนทราย (Sandy Loam) ที่มีคุณภาพต่ำ ขาดความอุดมสมบูรณ์และอุ้มน้ำได้น้อย การที่ผู้เสนอแนวคิดบอกว่าแค่ตรวจ NPK แล้วเติมปุ๋ย จึงเป็นการมองโลกง่ายเกินไป เพราะในดินทรายแบบอีสาน การเติมปุ๋ยก็เหมือนการ “เทน้ำลงในถังรั่ว” ธาตุอาหารจะถูกชะล้างไปอย่างรวดเร็วเมื่อฝนตก นี่คือปัญหาโครงสร้างที่แก้ไม่ได้ด้วยการเติมปุ๋ย

ประการที่สาม คือ ข้อจำกัดทางกายภาพต่อแนวคิด “สหกรณ์” ผู้เสนอแนวคิดนี้กล่าวถึงสหกรณ์เป็นทางออก โดยอ้างอิงถึงตัวอย่างจากญี่ปุ่น เพื่อให้เกษตรกรรวมตัวกันซื้อเครื่องจักรขนาดใหญ่ แต่แนวคิดนี้ล้มเหลวในทางปฏิบัติ ไม่ใช่แค่เพราะปัญหาความไว้เนื้อเชื่อใจดังที่บทความก่อนหน้าระบุ แต่เป็นเพราะ “ภูมิประเทศ” มันไม่อนุญาต

สมมติว่าเกษตรกรไทย 100 ครัวเรือน (ครัวเรือนละ 25 ไร่) รวมตัวกันเป็นสหกรณ์ พวกเขาจะไม่ได้ที่ดินผืนเดียวขนาด 2,500 ไร่ เหมือนในอเมริกา แต่พวกเขาจะได้ “ที่ดิน 100 แปลงเล็ก” ที่กระจัดกระจายอยู่ตามเนินเขา หุบเขา คั่นด้วยถนน คลอง และหมู่บ้าน

  • คำถามคือ: คุณจะเอารถแทรกเตอร์ John Deere มูลค่า 20 ล้านบาท ไปวิ่งในสภาพพื้นที่แบบนั้นอย่างไร?
  • มันเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ (Massive Machinery) อย่างมีประสิทธิภาพในที่ดินที่ถูกซอยย่อยและไม่ต่อเนื่อง (Fragmented Land) เวลาส่วนใหญ่จะหมดไปกับการขับรถแทรกเตอร์วนไปมาระหว่างแปลง มากกว่าเวลาที่ใช้เก็บเกี่ยวจริง เทคโนโลยีที่ออกแบบมาสำหรับที่ราบมหึมาในอเมริกา จึงกลายเป็นอัมพาตทันทีเมื่อเจอกับภูมิประเทศแบบไทย นี่คือปัญหาที่แท้จริงว่าทำไมเกษตรบ้านเรายังจน ก็เพราะว่าที่ดินของเราต่อต้านโมเดลการผลิตแบบอุตสาหกรรมขนาดใหญ่โดยธรรมชาติ

ประการที่สี่ คือ ความได้เปรียบด้าน “โลจิสติกส์” ที่ไทยไม่มี ความสำเร็จของอเมริกาไม่ได้จบที่การผลิต แต่คือการ “ขนส่ง” สหรัฐอเมริกามีระบบแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ (Mississippi River System) ซึ่งเปรียบเสมือนทางด่วนธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดและถูกที่สุดในโลก พวกเขาสามารถบรรทุกข้าวโพดหลายแสนตันลงใน “เรือบาร์จ” (Barge) และล่องไปออกอ่าวเม็กซิโกเพื่อส่งออกไปทั่วโลกด้วยต้นทุนที่ต่ำจนน่าใจหาย ในขณะที่ประเทศไทย การขนส่งสินค้าเกษตรยังคงพึ่งพา “รถบรรทุก” เป็นหลัก ซึ่งมีต้นทุนต่อตัน-กิโลเมตร ที่สูงกว่าการขนส่งทางน้ำมหาศาล เพียงแค่ต้นทุนโลจิสติกส์นี้ ก็ทำให้ข้าวโพดไทยไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับอเมริกาหรือบราซิลได้แล้ว

ประการที่ห้า คือ ความหนาแน่นของประชากร ประเทศไทยมีประชากรประมาณ 70 ล้านคนในพื้นที่ประมาณ 513,000 ตารางกิโลเมตร ทำให้มีความหนาแน่นของประชากรประมาณ 137 คนต่อตารางกิโลเมตร ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีประชากร 330 ล้านคนในพื้นที่ 9.8 ล้านตารางกิโลเมตร หรือความหนาแน่นเพียง 36 คนต่อตารางกิโลเมตร นั่นหมายความว่าประเทศไทยมีความหนาแน่นของประชากรสูงกว่าสหรัฐอเมริกาเกือบสี่เท่า ความหนาแน่นของประชากรที่สูงนี้หมายความว่าที่ดินต้องแข่งขันกับการใช้ประโยชน์รูปแบบอื่นๆ ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่น การพัฒนาเมือง โรงงานอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว นี่คือเหตุผลที่พื้นที่เกษตรของไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง

ประการที่หก คือ ภูมิอากาศและระบบชลประทาน แม้ว่าผู้เสนอแนวคิดนี้จะเน้นย้ำว่าประเทศไทยมีแสงแดดและน้ำฝน แต่ความจริงซับซ้อนกว่านั้นมาก ประเทศไทยมีฤดูกาลที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน และมีปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งสลับกัน ซึ่งผู้เสนอแนวคิดมองว่านี่คือปัญหาการจัดการน้ำ ระบบชลประทานของไทยครอบคลุมเพียง 20 ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่เกษตรเท่านั้น ที่เหลือ 70 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ต้องพึ่งพาน้ำฝน นี่หมายความว่าเกษตรกรส่วนใหญ่สามารถปลูกพืชได้เพียงปีละรอบหรือสองรอบในช่วงฤดูฝน การที่ผู้เสนอแนวคิดนี้บอกว่าหากแก้ปัญหาน้ำ เกษตรกรจะสามารถปลูกได้ปีละสามรอบ นั้นเป็นการเข้าใจผิดพื้นฐาน และการเสนอให้ใช้งบประมาณ “แสนล้าน” เพื่อสร้างระบบน้ำถาวรนั้น เป็นการประเมินต้นทุนที่ต่ำกว่าความเป็นจริงมหาศาล การสร้างระบบชลประทานที่ครอบคลุมทั้งประเทศ (โดยเฉพาะในที่ราบสูงอีสานที่ต้องใช้การสูบน้ำมหาศาล) ไม่ใช่แค่การสร้างเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำอีกสองสามแห่ง แต่ต้องการการลงทุนระดับหลายล้านล้านบาท และต้องใช้เวลาหลายทศวรรษในการก่อสร้าง นอกจากนี้ การปลูกพืชสามรอบต่อปี บนที่ดินแปลงเดียวกัน (โดยเฉพาะดินทรายที่ไม่อุ้มธาตุอาหาร) ยังมีปัญหาในด้านความอุดมสมบูรณ์ของดิน ดินต้องการเวลาในการพักฟื้น การปลูกพืชอย่างต่อเนื่องจะทำให้ดินเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว เกษตรกรจะต้องใช้ปุ๋ยเคมีในปริมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ ซึ่งไม่เพียงแต่เพิ่มต้นทุน แต่ยังก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

ประการที่เจ็ด คือเรื่องของต้นทุนการผลิต แม้ว่าเราจะสามารถแก้ปัญหาด้านพื้นที่และน้ำได้ ต้นทุนการผลิตข้าวโพดในประเทศไทยก็ยังคงสูงกว่าคู่แข่งหลักในตลาดโลกอย่างมีนัยสำคัญ ตามข้อมูลจากองค์กรอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ต้นทุนการผลิตข้าวโพดในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ประมาณ 150 ถึง 180 ดอลลาร์ต่อตัน ในบราซิลอยู่ที่ 120 ถึง 140 ดอลลาร์ต่อตัน และในอาร์เจนตินาอยู่ที่ 110 ถึง 130 ดอลลาร์ต่อตัน ในขณะที่ต้นทุนการผลิตในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 180 ถึง 220 ดอลลาร์ต่อตัน หรือสูงกว่าคู่แข่งราว 50 ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ความแตกต่างของต้นทุนนี้มาจากทุกปัจจัยที่กล่าวมา: ขนาดฟาร์มที่เล็ก (ไม่มี Economies of Scale), ภูมิประเทศที่ไม่เอื้ออำนวย (ใช้เครื่องจักรใหญ่ไม่ได้), คุณภาพดินที่ต่ำ (ต้นทุนปุ๋ยสูงขึ้น), และโลจิสติกส์ที่แพง (ขนส่งด้วยรถบรรทุก) บวกกับต้นทุนปัจจัยการผลิต เช่น เมล็ดพันธุ์ และปุ๋ย ที่แพงกว่าเพราะไทยต้องนำเข้าส่วนใหญ่ และปัญหาหนี้นอกระบบที่ทำให้ต้นทุนทางการเงินสูงลิ่ว ด้วยต้นทุนการผลิตที่สูงกว่านี้ แม้ว่าไทยจะสามารถผลิตข้าวโพดได้ในปริมาณมากขึ้น เกษตรกรไทยก็จะไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับเกษตรกรในบราซิล อาร์เจนตินา หรือแม้แต่สหรัฐอเมริกาได้

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับอำนาจในการควบคุมราคา

ข้าวโพดไม่ใช่น้ำมัน การที่คุณ CK เปรียบเทียบข้าวโพดกับน้ำมัน โดยกล่าวว่าหากไทยสามารถผลิตข้าวโพดได้มากพอ เราจะสามารถควบคุมราคาได้ เหมือนกับที่ซาอุดีอาระเบียและ OPEC ควบคุมราคาน้ำมัน การเปรียบเทียบนี้สะท้อนความไม่เข้าใจขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับพลวัตของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์

ซาอุดีอาระเบียสามารถมีอิทธิพลต่อราคาน้ำมันได้ (มี Hard Power ) เพราะหลายเหตุผล ประการแรก ซาอุดีอาระเบียผลิตน้ำมันประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของการผลิตน้ำมันทั้งโลก และเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลก นอกจากนี้ ซาอุดีอาระเบียยังมีสำรองน้ำมันที่พิสูจน์แล้วมหาศาล ที่สำคัญที่สุดคือ ซาอุดีอาระเบียเป็นสมาชิกหลักของ OPEC และ OPEC Plus ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันที่ร่วมมือกันควบคุมปริมาณการผลิตเพื่อรักษาราคา OPEC Plus ควบคุมการผลิตน้ำมันประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของโลก

ในทางตรงกันข้าม แม้ว่าประเทศไทยจะสามารถผลิตข้าวโพด 80 ล้านตันโดยใช้ที่ดินทั้งหมด ซึ่งเป็นสมมติฐานที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว จำนวนนี้ก็คิดเป็นเพียง 6.7 เปอร์เซ็นต์ของการผลิตข้าวโพดโลกที่อยู่ที่ประมาณ 1,200 ล้านตันต่อปี และที่สำคัญที่สุด ไม่มีองค์กรใดที่เทียบเคียง OPEC ได้ในตลาดข้าวโพด เพราะข้าวโพดสามารถปลูกได้ในหลายภูมิภาคทั่วโลก และมีผู้ผลิตรายเล็ก รายใหญ่หลายรายที่แข่งขันกัน

สหรัฐอเมริกาผลิต 32 เปอร์เซ็นต์ของข้าวโพดโลก จีนผลิต 24 เปอร์เซ็นต์ บราซิลผลิต 11 เปอร์เซ็นต์ อาร์เจนตินาผลิต 5 เปอร์เซ็นต์ และอีกหลายประเทศรวมกันผลิตอีก 28 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีประเทศใดที่มีส่วนแบ่งการตลาดที่เด่นชัดเพียงพอที่จะควบคุมราคาได้ แม้แต่สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดถึง 32% ก็ไม่สามารถควบคุมราคาข้าวโพดได้

นี่คือความแตกต่างขั้นพื้นฐานระหว่างน้ำมันกับข้าวโพด น้ำมันเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่จำกัดและสามารถสกัดได้เฉพาะในพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำมันเท่านั้น ในขณะที่ข้าวโพดเป็นพืชที่สามารถปลูกได้ในเขตอบอุ่นและร้อนทั่วโลก เกษตรกรสามารถเปลี่ยนจากการปลูกพืชอื่นมาปลูกข้าวโพดได้ภายในฤดูกาลเดียว หากราคาข้าวโพดสูงขึ้น จะมีเกษตรกรทั่วโลกแห่เข้ามาปลูกเพิ่ม ซึ่งทำให้อุปทานเพิ่มขึ้นและราคาลดลงอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ ข้าวโพดยังมีสินค้าทดแทนมากมาย สำหรับการเลี้ยงสัตว์ (ไก่, ปลา, เนื้อ ) ซึ่งเป็นการใช้ข้าวโพดหลัก เกษตรกรสามารถใช้ข้าวสาลี ข้าวฟ่าง ถั่วเหลือง หรือแม้แต่ผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมอาหารอื่นๆ แทนข้าวโพดได้ หากราคาข้าวโพดสูงเกินไป ผู้เลี้ยงสัตว์ก็จะเปลี่ยนไปใช้อาหารสัตว์ชนิดอื่น ซึ่งจำกัดการเพิ่มขึ้นของราคาข้าวโพด ในทางตรงกันข้าม น้ำมันไม่มีสินค้าทดแทนที่สมบูรณ์ โดยเฉพาะในระยะสั้น

ดังนั้น การเปรียบเทียบข้าวโพดกับน้ำมันจึงเป็นการเปรียบเทียบที่ผิดพลาดโดยสิ้นเชิง มันคือสิ่งที่นักตรรกศาสตร์เรียกว่า “False Equivalence” ข้อเท็จจริงคือ ไม่มีประเทศใดในโลกที่สามารถควบคุมราคาข้าวโพดได้ เพราะมันเป็นสินค้าที่มีการแข่งขันสูง มีผู้ผลิตกระจายตัวทั่วโลก และมีสินค้าทดแทนมากมาย

ทางเลือกเดียวที่เหลือ: ไปรบเพื่อเอาที่ดิน

เมื่อเราได้วิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียดแล้ว จะเห็นได้ชัดว่าหากประเทศไทยต้องการผลิตข้าวโพดให้ได้เท่ากับสหรัฐอเมริกาจริงๆ ด้วยผลผลิตเฉลี่ยปัจจุบันของเราที่ 3.5 ตันต่อเฮกตาร์ เราจะต้องการพื้นที่ 110 ล้านเฮกตาร์ ในขณะที่เรามีเพียง 22.9 ล้านเฮกตาร์ เราจึงขาดที่ดินอีก 87.1 ล้านเฮกตาร์ หรือประมาณ 544 ล้านไร่

พื้นที่ที่ขาดนี้เทียบได้กับพื้นที่ของประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศรวมกัน ยกตัวอย่างเช่น ประเทศกัมพูชามีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 18.1 ล้านเฮกตาร์ ประเทศลาวมีพื้นที่ 23.7 ล้านเฮกตาร์ และประเทศเมียนมามีพื้นที่ 67.6 ล้านเฮกตาร์ รวมกันแล้วสามประเทศนี้มีพื้นที่ทั้งสิ้น 109.4 ล้านเฮกตาร์ ซึ่งใกล้เคียงกับพื้นที่ที่เราขาด

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบเชิงตัวเลขให้เห็นภาพ เพื่อตอกย้ำความไร้สาระของแนวคิดที่จะให้ประเทศไทยเป็นมหาอำนาจโลกจน “ทรัมป์” ต้องเรียกมาคุยด้วยการปลูกข้าวโพดนี้ ในโลกแห่งความเป็นจริง ประเทศไทยไม่สามารถและไม่ควรไปยึดครองที่ดินจากประเทศเพื่อนบ้านเพื่อปลูกข้าวโพด แต่นี่คือความจริงทางคณิตศาสตร์ที่แสดงให้เห็นว่าข้อเสนอนี้เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง

แม้แต่การปรับปรุงผลผลิตต่อเฮกตาร์ให้เท่ากับสหรัฐอเมริกาที่ 11 ตันต่อเฮกตาร์ (ซึ่งจะต้องใช้การลงทุนมหาศาลและเทคโนโลยีขั้นสูง) เราก็ยังต้องการพื้นที่ 35 ล้านเฮกตาร์ ซึ่งมากกว่าที่ดินเกษตรทั้งหมดของเราอยู่ 12.1 ล้านเฮกตาร์ พื้นที่ที่ขาดนี้เท่ากับพื้นที่ทั้งหมดของประเทศลาวบวกกับอีกครึ่งหนึ่งของกัมพูชา เป็นตัวเลขที่ตอกย้ำอย่างชัดเจนว่าแนวคิดนี้เพ้อฝันโดยสิ้นเชิง

ทางออกที่แท้จริงสำหรับเกษตรกรไทย

การวิเคราะห์ทั้งหมดนี้ ไม่ได้หมายความว่าเราควรเพิกเฉยต่อปัญหาปากท้องของเกษตรกรไทย ข้อเท็จจริงที่ว่าแรงงาน 30% ของประเทศ กลับสร้าง GDP ได้เพียง 8-10% นั้น คือปัญหาเชิงโครงสร้างที่ร้ายแรงและต้องเร่งแก้ไข แต่ทางออกไม่ใช่การดันทุรังไปแข่งขันกับประเทศที่มี “ความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ” (Comparative Advantage) ที่เหนือกว่า ในการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ราคาถูกอย่างข้าวโพด

ทางออกที่แท้จริงอยู่ที่การเพิ่มมูลค่าและการเน้นไปที่สินค้าที่ไทยมีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ ทุเรียนเป็นตัวอย่างที่ดี ไทยเป็นผู้ส่งออกทุเรียนรายใหญ่ของโลก โดยมีมูลค่าการส่งออกประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปี ทุเรียนไม่สามารถปลูกได้ในทุกสภาพภูมิอากาศ ต้องการความชำนาญในการเพาะปลูก และไทยมีชื่อเสียงด้านคุณภาพของทุเรียน สิ่งเหล่านี้ทำให้ทุเรียนไทยขายได้ในราคาพรีเมียม โดยไม่ต้องลงไปสู้สงครามราคา นี่คือ “Hard Power” ที่แท้จริงในแบบของเรา ไม่ใช่ Soft Power ที่เป็นแค่ทางเลือก

อีกทางหนึ่งคือการแปรรูปและสร้างมูลค่าเพิ่ม แทนที่จะส่งออกข้าวเปลือกหรือข้าวสาร เราควรพัฒนาผลิตภัณฑ์จากข้าว เช่น ข้าวหอมมะลิออร์แกนิก ข้าวกล้องพรีเมี่ยม หรือแม้แต่เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจากข้าว สิ่งเหล่านี้มีมาร์จิ้นสูงกว่าการขายข้าวเปลือกมาก

การท่องเที่ยวเชิงเกษตร หรือ Agritourism ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ การเปลี่ยนฟาร์มบางส่วนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับการเกษตร เก็บผลไม้ หรือสัมผัสวิถีชีวิตชนบท สามารถสร้างรายได้เสริมที่มีมาร์จิ้นสูงให้กับเกษตรกร

ที่สำคัญที่สุด เราต้องยอมรับความจริงว่า ประเทศไทยไม่จำเป็นต้อง “อุ้ม” แรงงานในภาคเกษตรไว้ถึง 30% ประเทศพัฒนาแล้วมักมีแรงงานในภาคเกษตรเพียง 2 ถึง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น การลดสัดส่วนแรงงานในภาคเกษตรไม่ได้หมายความว่าเราทอดทิ้งเกษตรกร แต่หมายถึงการเพิ่มผลิตภาพต่อคนให้สูงขึ้น โดยการรวมที่ดิน (ในรูปแบบที่เหมาะสมกับภูมิประเทศของเรา) การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม (Precision Agriculture สำหรับแปลงเล็ก ไม่ใช่แทรกเตอร์ยักษ์) และการสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ที่ไม่ต้องการทำเกษตรสามารถย้ายไปทำงานในภาคอุตสาหกรรมและบริการที่มีผลิตภาพสูงกว่าe

บทสรุป

ข้อเสนอที่ว่าประเทศไทยควรปลูกข้าวโพดเพื่อแข่งขันกับสหรัฐอเมริกาและควบคุมราคาได้ เหมือนที่ซาอุดีอาระเบียควบคุมราคาน้ำมัน นั้นเป็นแนวคิดที่ไม่เพียงแต่ “เป็นไปไม่ได้” แต่ยัง “เป็นอันตราย” ต่อความมั่นคงของประเทศชาติ

ข้อจำกัดที่สำคัญที่สุดคือเรื่องพื้นที่ ประเทศไทยมีที่ดินเกษตรเพียง 22.9 ล้านเฮกตาร์ และถูกใช้ไปแล้ว 97.2 เปอร์เซ็นต์ หากต้องการผลิตข้าวโพดเท่ากับสหรัฐอเมริกาด้วยผลผลิตเฉลี่ยปัจจุบันของไทย เราจะต้องการที่ดิน 110 ล้านเฮกตาร์ หรือมากกว่าที่มีอยู่เกือบห้าเท่า แม้ว่าเราจะสามารถปรับปรุงผลผลิตให้เท่ากับสหรัฐอเมริกา เราก็ยังต้องการที่ดิน 35 ล้านเฮกตาร์ หรือมากกว่าที่มีอยู่ 1.5 เท่า

หากเราพยายามใช้ที่ดินทั้งหมดมาปลูกข้าวโพด เราจะสามารถผลิตได้เพียง 80 ล้านตัน หรือ 20.8 เปอร์เซ็นต์ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งคิดเป็นเพียง 6.7 เปอร์เซ็นต์ของตลาดโลก ไม่เพียงพอที่จะมีอำนาจต่อรองในการควบคุมราคา แต่ที่สำคัญกว่านั้น เราจะต้องเสียสละข้าว ทุเรียน ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และพืชอื่นๆ ทั้งหมด ทำให้เราสูญเสียรายได้จากการส่งออกมากกว่า 200,000 ล้านบาทต่อปี สูญเสียความมั่นคงอาหาร และต้องนำเข้าข้าวด้วยเงินมากกว่า 140,000 ล้านบาทต่อปี

นอกจากปัญหาพื้นที่แล้ว ยังมีข้อจำกัดโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่อาจแก้ไขได้:

  1. ขนาดฟาร์ม: ของไทยเล็กกว่าสหรัฐอเมริกา 45-100 เท่า ทำให้ไม่เกิด Economy of Scale
  2. ภูมิประเทศ: ที่ดินไทย (โดยเฉพาะภาคอีสาน ) เป็นที่ดอนลอนคลื่นและถูกซอยย่อย ไม่เหมือนที่ราบแบนราบมหึมาของอเมริกา
  3. ข้อจำกัดเทคโนโลยี: ภูมิประเทศที่กระจัดกระจายทำให้เครื่องจักรขนาดใหญ่แบบ John Deere ที่คุณ CK กล่าวถึง ใช้งานไม่ได้จริง แนวคิดสหกรณ์ จึงล้มเหลวตั้งแต่ในเชิงกายภาพ
  4. โลจิสติกส์: ไทยขนส่งทางรถบรรทุกซึ่งแพงกว่าทางเรือบาร์จ (แม่น้ำมิสซิสซิปปี้) ของอเมริกาหลายเท่า
  5. ต้นทุนการผลิต: เมื่อรวมทุกปัจจัย ต้นทุนของไทยสูงกว่าคู่แข่ง 50-100% ทำให้ไม่สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก

การเปรียบเทียบข้าวโพดกับน้ำมันเป็นการเปรียบเทียบที่ผิดพลาดโดยสิ้นเชิง เพราะข้าวโพดเป็นสินค้าที่มีการแข่งขันสูง มีผู้ผลิตกระจายตัวทั่วโลก มีสินค้าทดแทนมากมาย และไม่มีประเทศใดที่สามารถควบคุมราคาได้

ทางออกที่แท้จริงสำหรับเกษตรกรไทย ไม่ใช่การไปแข่งขันด้านปริมาณในสินค้าโภคภัณฑ์ราคาถูก แต่อยู่ที่การเพิ่มมูลค่า การเน้นไปที่สินค้าที่ไทยมีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ (เช่น ทุเรียน) การแปรรูปและสร้างแบรนด์ และการเพิ่มผลิตภาพต่อคนให้สูงขึ้น

แนวคิดที่ว่าเกษตรกรไทยควรปลูกข้าวโพดแข่งกับอเมริกานั้น ไม่ใช่แค่ “ความฝันลมๆ แล้งๆ” แต่มันคือ “ฝันร้าย” ที่จะนำไปสู่วิกฤตอาหารและเศรษฐกิจที่ประเมินค่าไม่ได้ หากมีใครดึงดันพยายามทำให้เป็นจริง


You must be logged in to post a comment Login

Казино левлучший портал для азартных игроков
Игровые автоматызахватывающая игра начинается сейчас
azino777испытай удачу прямо здесь
1win казинооткрой для себя мир азартных игр
Вулкан платинумавтоматы с высокой отдачей ждут тебя
Казино левгде выигрыши становятся реальностью
Игровые автоматыразвлекайся и выигрывай каждый день
азино три топоранаслаждайся адреналином от побед
Казино 1winкаждая игра — шаг к успеху
Вулкан россиятвой шанс на большой выигрыш
Казино левоснова азартного мастерства
Игровые автоматытоповые игры для каждого
Azino777только для настоящих ценителей риска
1win казинокайф от игры начинается здесь
Вулкан 24где каждый день приносит победы
Казино левновые высоты азартных эмоций
Игровые автоматыгде выигрыши реальны
азино три топорасамые горячие игры ждут
Казино 1winвыигрывайте с комфортом
Казино вулкан россияисследуй мир азартных автоматов
Казино левтвой источник азарта и выигрышей
Игровые автоматыискусство выигрыша ждет тебя
azino777почувствуй азарт и драйв
1win казиноидеальный выбор для азартных игр
Вулкан платинумиграй и побеждай с удовольствием
Казино левнаслаждайся азартом без границ
Игровые автоматылучшие призы ждут тебя
азино три топоратвоя игра начинается здесь
Казино 1winновые уровни азарта и удачи
Вулкан россияначни путь к победе прямо сейчас
Coco chat - Rejoignez nouvelles discussions enrichissantes sur Bed and Bamboo
Chatrandom - Discover exciting chats with new people on Bed and Bamboo
Chatrandom - Entdecke spannenUnterhaltungauf Bed and Bamboo
Chatrandom - Ontdek boeienchats op Bed and Bamboo
Coco chat - Partagez des moments uniques sur Hoodrich France
Chatrandom - Connect and chat on Hoodrich France
Chatrandom - Chatte mit der Hoodrich France Community
Chatrandom - Geniet van chats in Hoodrich France gemeenschap
Coco chat - Connectez-vous pour des échanges passionnants sur I’m Famous 51
Chatrandom - Meet and chat on I’m Famous 51
Chatrandom - Führe spannenGespräche auf I’m Famous 51
Chatrandom - Beleef gesprekkop I’m Famous 51
Coco chat - Discutez avec la communauté Quincaillerie Outillage Thollot
Chatrandom - Explore vibrant conversations at Quincaillerie Outillage Thollot
Chatrandom - Tritt spannendChats bei Quincaillerie Outillage Thollot bei
Chatrandom - Ga mee in boeiengesprekkbij Quincaillerie Outillage Thollot
Coco chat - Rejoignez TurboSystem pour discuter
Chatrandom - Engage in exciting chats at TurboSystem
Chatrandom - Genieße spannenChats bei TurboSystem
Chatrandom - Beleef chatplezier bij TurboSystem