- ตั้งสติให้ดี “โลกนี้ มีเกิด มีตาย”Posted 5 months ago
- อย่าหาเรื่องอยู่ร้อน นอนทุกข์Posted 5 months ago
- โลกธรรมPosted 5 months ago
- อนุโมทนา คนพิการสู้ชีวิตPosted 5 months ago
- สลายความเกลียดชังPosted 5 months ago
- สู้ดีกว่าลาโลกPosted 5 months ago
- ใช้คาถาพระพยอมบ้างPosted 5 months ago
- เสียงชื่นชมดีกว่าเขาด่าPosted 5 months ago
- ต้องใช้ยาแรงกับคนขายชาติPosted 5 months ago
- บทเรียนผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวPosted 5 months ago
เปลี่ยนตะกั่วเป็นทองคำ ยิ่งทำให้ทองคำมีค่ากว่าเดิม

ผู้เขียน : ดร.โสภณ พรโชคชัย
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 22 ก.ค. 68)
มีข่าวที่ CERN องค์กรวิจัยนิวเคลียร์แห่งยุโรป สามารถเปลี่ยนตะกั่วเป็นทองคำได้สำเร็จแพร่หลายออกไป ทันทีที่ข่าวนี้ปรากฏ หลายคนในวงการคริปโต เช่นคุณท็อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา รีบออกมาประกาศชัยชนะ คุณท็อปอ้างว่า “ทองคำจะราคาตก” เพราะคิดว่าการที่มนุษย์สามารถ “สร้าง” ทองคำได้แล้ว จะทำให้ทองคำกลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่า แต่นี่เป็นความเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงที่แสดงให้เห็นถึงการไม่เข้าใจกระบวนการทางวิทยาศาสตร์อย่างถ่องแท้
ความจริงคือ ทั้ง CERN และธรรมชาติล้วนสร้างทองคำได้จริง แต่ใช้กลไกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และที่สำคัญคือประสิทธิภาพที่ต่างกันมหาศาล CERN ใช้วิธี Electromagnetic Dissociation โดยการใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าแรงสูงเพื่อนำโปรตอน (protons) ออกจากตะกั่ว (Lead, Pb-208) ที่มี 82 โปรตอน ให้เหลือ 79 โปรตอน กลายเป็นทองคำ (Gold, Au-197) ซึ่งเป็นการ “ลด” จำนวนโปรตอนลง
ขณะที่ธรรมชาติใช้กระบวนการ r-process หรือ rapid neutron capture ในเหตุการณ์การชนกันของดาวนิวตรอน (neutron star mergers) โดยเริ่มจากธาตุเบาอย่างเหล็ก (Iron, Fe-56) ที่มี 26 โปรตอน แล้วดูดซับนิวตรอนอย่างรวดเร็ว เมื่อนิวตรอนเหล่านี้เกิดการสลายให้อนุภาคบีตา (beta decay) จะเปลี่ยนเป็นโปรตอนและอิเล็กตรอน ทำให้จำนวนโปรตอนเพิ่มขึ้นจาก 26 เป็น 79 กลายเป็นทองคำ นี่คือการ “เพิ่ม” จำนวนโปรตอนขึ้น สองกระบวนการนี้เป็นทิศทางตรงกันข้าม แต่ได้ผลลัพธ์เดียวกันคือทองคำ
แต่คำถามสำคัญคือ ทำไม CERN ที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดไม่ใช้วิธีเดียวกับธรรมชาติ? คำตอบคือ เพราะทำไม่ได้ กระบวนการ r-process ต้องการเงื่อนไขที่รุนแรงอย่างสุดขั้ว ต้องมี “ฟลักซ์นิวตรอน” (neutron flux density) ที่หนาแน่นกว่าในนิวเคลียสของอะตอมธรรมดา อุณหภูมิหลายร้อยล้านองศาเซลเซียส แรงดันระดับที่เกิดขึ้นในแกนกลางของดาวนิวตรอน ซึ่งสูงกว่าแรงดันบรรยากาศโลกถึง 1015 เท่า และที่สำคัญคือต้องควบคุมปฏิกิริยาที่ปลดปล่อยพลังงานเทียบเท่าดวงอาทิตย์หลายล้านล้านดวง
มนุษย์ไม่มีเทคโนโลยีสร้างฟลักซ์นิวตรอนที่หนาแน่นระดับนั้น ไม่มีขีดความสามารถในการควบคุมปฏิกิริยาในระดับนั้นได้ และความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจะสูงเกินกว่าจะจินตนาการได้ CERN จึงต้องใช้วิธี “ลัด” ด้วย Electromagnetic Dissociation ซึ่งควบคุมได้และปลอดภัยกว่า แต่ได้ผลลัพธ์ที่น่าผิดหวังอย่างยิ่ง CERN ใช้เครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ (Large Hadron Collider) ที่มีเส้นรอบวง 27 กิโลเมตร มีมูลค่าการก่อสร้างกว่า 3 แสนล้านบาท และใช้พลังงานไฟฟ้าเทียบเท่าเมืองใหญ่ทั้งเมือง แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือทองคำเพียง 86,000,000,000 นิวเคลียส ซึ่งเมื่อเทียบเป็นน้ำหนักแล้วได้เพียง 0.000000000018 ส่วนในล้านล้านส่วนของทองคำหนัก 1 บาท และที่สำคัญที่สุดคือ ทองคำที่เกิดขึ้นนี้มีอายุเพียง 1 ไมโครวินาที (microsecond) ก่อนที่จะสลายตัวกลับไปเป็นตะกั่วอีกครั้ง!
ท่านทราบหรือไม่ ต้นทุนการผลิตสูงกว่าราคาทองคำในตลาดหลายแสนล้านเท่า นี่คือบทพิสูจน์ที่ชัดเจนที่สุดว่าธรรมชาติเหนือกว่าเทคโนโลยีของมนุษย์อย่างมหาศาล สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติในจักรวาล (การชนกันของดาวนิวตรอน) มนุษย์ยังทำเลียนแบบไม่ได้ แม้แต่องค์กรที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดอย่าง CERN ก็ยังต้องใช้วิธี “อ้อม” และได้ผลลัพธ์แค่ไม่กี่อะตอมที่หายไปในพริบตา
แล้วทำไมข่าวนี้กลับทำให้ทองคำมีค่าขึ้น? จะเห็นได้ว่าข่าวการสร้างทองคำในห้องแล็บได้นั้น เป็นการปั่นกระแสจนเกินจริง เพื่อให้คนเกิดความกลัวในการถือครองทองคำและหันเหเงินทุนไปสู่สินทรัพย์ดิจิทัลอย่างบิตคอยน์ แต่หากวิเคราะห์ให้ลึกซึ้ง การทดลองของ CERN กลับกลายเป็นการ “ตอกย้ำ” คุณค่าที่แท้จริงของทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่มั่นคง (Store of Value) ด้วยเหตุผลดังนี้:
- พิสูจน์ความหายากที่แท้จริง (Proven Scarcity): การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่าการ “สร้าง” ทองคำขึ้นมาใหม่นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ในเชิงพาณิชย์ มันยืนยันว่าปริมาณทองคำที่เรามีอยู่บนโลกนั้นมีจำกัดอย่างแท้จริง (Finite Supply) และเราไม่สามารถเพิ่มอุปทานได้อย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่าจะใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยเพียงใดก็ตาม ความหายากของทองคำไม่ได้ถูกกำหนดโดยมนุษย์ แต่ถูกกำหนดโดยกฎฟิสิกส์และประวัติศาสตร์ของจักรวาล
- ต้นทุนการผลิตคือเพดานของราคา: ในทางเศรษฐศาสตร์ ราคาของสินค้าโภคภัณฑ์มักจะสัมพันธ์กับต้นทุนการผลิต การที่ต้นทุนการสร้างทองคำหนึ่งอะตอมสูงกว่ามูลค่าของมันนับล้านๆ เท่า เป็นการการันตีว่า “ทองคำสังเคราะห์” จะไม่มีวันเข้ามาตีตลาดและทำให้ราคาทองคำธรรมชาติลดลงได้เลย ตรงกันข้าม มันกลับทำให้ทองคำที่ขุดได้จากเหมืองดู “ราคาถูก” ไปในทันที
- ความคงทนถาวร (Durability): ทองคำที่ CERN สร้างขึ้นสลายตัวใน 1 ไมโครวินาที แต่ทองคำที่เกิดจากธรรมชาติและถูกหลอมเป็นเครื่องประดับหรือทองคำแท่งเมื่อหลายพันปีก่อนยังคงสภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง นี่คือคุณสมบัติสำคัญของสินทรัพย์ที่ใช้เก็บรักษามูลค่า มันไม่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา
ดังนั้น แทนที่จะเป็นข่าวร้าย การค้นพบของ CERN กลับเป็น “แคมเปญการตลาดที่ดีที่สุดของทองคำ“ โดยไม่ได้ตั้งใจ มันสยบข่าวลือและความกลัวที่ว่าเทคโนโลยีจะทำให้ทองคำไร้ค่าลงได้อย่างสิ้นเชิง และพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าสินทรัพย์ที่จับต้องได้ซึ่งถือกำเนิดจากใจกลางพายุคอสมิกนั้น ยังคงเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจสร้างเลียนแบบได้
อีกด้านหนึ่งคือ บิตคอยน์ ซึ่งถือกำเนิดและดำรงอยู่ได้ด้วยรหัสคอมพิวเตอร์ ทำให้มันต้องผูกติดอยู่กับ สนามแข่งขันทางเทคโนโลยีที่ไม่มีวันสิ้นสุด ความปลอดภัยของมันคือการวิ่งไล่ให้ทันหรือนำหน้าภัยคุกคามใหม่ๆเช่นควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังขึ้นเรื่อยๆอยู่เสมอ นี่คือความเสี่ยงที่ฝังอยู่ใน DNA ของมัน และเป็นความเสี่ยงที่จะไม่มีวันลดลงและมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะที่ ทองคำ สินทรัพย์ที่ไม่ได้มาจากโค้ด แต่มาจากกฎพื้นฐานทางฟิสิกส์ การทดลองของ CERN ได้ตอกย้ำความจริงข้อนี้อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ เมื่อเทคโนโลยีที่ทันสมัยและทรงพลังที่สุดของมนุษยชาติ กลับทำได้เพียงยืนยันว่าพวกเขา ไม่อาจสร้างสิ่งที่จักรวาลสร้างขึ้นเป็นปกติได้ แม้เพียงเศษเสี้ยว
บทสรุปนี้จึงชัดเจนในตัวเอง: เทคโนโลยีไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อทองคำ แต่กลับเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความเหนือกว่าของมัน ในยุคที่ทุกอย่างกำลังถูกท้าทายด้วยความก้าวหน้าทางดิจิทัล สินทรัพย์ที่มั่นคงที่สุดกลับไม่ใช่สิ่งที่พยายามวิ่งเร็วที่สุดในสนามแข่งขัน แต่คือสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในสนามแข่งขันนั้นเลยตั้งแต่แรก
ในยุคที่สินทรัพย์ดิจิทัลถูกสร้างขึ้นจากโค้ดคอมพิวเตอร์และเผชิญกับความผันผวนจากกระแสข่าวและความเชื่อมั่น การทดลองนี้ได้ย้ำเตือนเราว่า ทองคำยังคงเป็น “สมอเรือ” ที่มั่นคงที่สุดในโลกการเงิน ด้วยคุณค่าที่ไม่ได้มาจากคำโฆษณาหรือกระแสชวนเชื่อเหมือนบิทคอยน์ แต่มาจากความหายากที่พิสูจน์แล้วโดยกฎแห่งจักรวาลนั่นเอง นี่แสดงให้เห็นว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่จะอยู่คู่กับมนุษย์ไปตราบนานเท่านานอย่างแท้จริง
อ้างอิง (URL):
- https://www.home.cern/news/news/physics/alice-detects-conversion-lead-gold-lhc
- https://www.scientificamerican.com/article/large-hadron-collider-physicists-turn-lead-into-gold-for-a-fraction-of-a/
- https://www.popularmechanics.com/science/a64729597/alchemy-experiment-cern-particle-physics/
- https://ui.adsabs.harvard.edu/abs/2017Natur.551…80K/abstract
- https://physicsworld.com/a/merging-neutron-stars-create-more-gold-than-collisions-involving-black-holes/
You must be logged in to post a comment Login