- ตั้งสติให้ดี “โลกนี้ มีเกิด มีตาย”Posted 3 months ago
- อย่าหาเรื่องอยู่ร้อน นอนทุกข์Posted 3 months ago
- โลกธรรมPosted 3 months ago
- อนุโมทนา คนพิการสู้ชีวิตPosted 3 months ago
- สลายความเกลียดชังPosted 3 months ago
- สู้ดีกว่าลาโลกPosted 3 months ago
- ใช้คาถาพระพยอมบ้างPosted 3 months ago
- เสียงชื่นชมดีกว่าเขาด่าPosted 3 months ago
- ต้องใช้ยาแรงกับคนขายชาติPosted 3 months ago
- บทเรียนผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวPosted 3 months ago
นบีมุฮัมมัดกับชาวยิวในแผ่นดินอาหรับ

คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 30 พ.ค. 68)
ในทางประวัติศาสตร์ ชาวยิวกับชาวคริสเตียนก็คือลูกหลานอิสราเอล แต่เพราะคัมภีร์ที่พระเจ้าประทานแก่คนสองกลุ่มนี้ถูกทำลาย ความพยายามรวบรวมคัมภีร์ขึ้นมาใหม่ทำให้คำสอนดั้งเดิมถูกบิดเบือนไป ดังนั้น แม้เดิมทีจะมีความเชื่อเหมือนกัน แต่ในใจของชาวยิวและชาวคริสเตียนต่างเป็นศัตรูต่อกัน
คัมภีร์กุรอานเอ่ยถึงความเป็นอริกันของคนสองกลุ่มนี้ว่า “ชาวยิวกล่าวว่า ‘พวกคริสเตียนไม่มีสิ่งใดมาเป็นหลักฐาน’ และชาวคริสเตียนกล่าวว่า ‘พวกยิวก็ไม่มีสิ่งใดเช่นกัน’ ทั้งๆที่พวกเขาทั้งสองฝ่ายอ่านคัมภีร์เล่มเดียวกัน และพวกที่ไม่มีความรู้เรื่องคัมภีร์ยังกล่าวอ้างเช่นเดียวกัน…” (กุรอาน 2:113)
และทั้งสองฝ่ายต่างอ้างว่า “เราเป็นบุตรของพระเจ้าและเป็นที่รักของพระองค์” (กุรอาน 5:18)
ชาวยิวทะนงในชนชาติและความรู้ของตนมาก พวกเขากล่าวว่า “ไฟนรกจะไม่สัมผัสเรา และถ้าหากมันจะสัมผัสเรา มันก็จะเป็นเพียงสองสามวันเท่านั้น” (กุรอาน 2:80)
ชาวคริสเตียนให้ความเคารพเยซัสไครสต์อย่างสูง แต่ชาวยิวไม่ยอมรับเยซัสไครสต์ มิหนำซ้ำยังวางแผนฆ่าด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ก่อนหน้าสมัยนบีมุฮัมมัด ชาวยิวได้บังคับชุมชนคริสเตียนทางตอนใต้ของคาบสมทุรอาหรับให้หันมานับถือศาสนายูดายด้วย ผมเคยเขียนเรื่องนี้ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
เมื่ออิสลามปรากฏขึ้นในแผ่นดินอาหรับ ชาวยิวได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองยัษริบ(มะดีนะฮฺ)มาก่อนหลายร้อยปี เมื่อนบีมุฮัมมัดอพยพไปที่นั่น ท่านไม่เรียกคนกลุ่มนี้ว่ายิว แต่ท่านเรียกด้วยความเคารพว่า “ลูกหลานอิสราเอล” เพื่อให้เกียรติแก่บรรพบุรุษของพวกเขา และบางครั้ง ท่านเรียกคนกลุ่มนี้ว่า “อะฮฺลุลกิตาบ” (ชาวคัมภีร์) เพราะคนกลุ่มนี้มีความภาคภูมิใจที่บรรพบุรุษของตนได้รับคัมภีร์จากพระเจ้า

แม้ในการละหมาดตอนแรกที่ไปถึงเมืองมะดีนะฮฺ นบีมุฮัมมัดก็สั่งมุสลิมให้หันหน้าไปยังมัสยิดอัลอักซอในเมืองเยรูซาเล็มซึ่งเป็นศูนย์รวมทางจิตวิญญาณของลูกหลานอิสราเอล นบีมุฮัมมัดเริ่มเรียกคนกลุ่มนี้ว่า “ยะฮูด” ก็ในตอนที่คนกลุ่มนี้ปฏิเสธคำสอนของพระเจ้าที่ท่านนำมา
คัมภีร์กุรอานเตือนสาวกของนบีมุฮัมมัดว่า “ส่วนมากของชาวคัมภีร์ต้องการที่จะหันสูเจ้ากลับมายังการปฏิเสธศรัทธาหลังจากสูเจ้าศรัทธาแล้ว ทั้งนี้เนื่องด้วยความอิจฉาของพวกเขาหลังจากที่สัจธรรมได้เป็นที่แจ่มแจ้งแก่พวกเขาแล้ว”(กุรอาน 2:108)
ชาวยิวรู้ว่าชาวอาหรับเป็นลูกหลานของอับราฮัมจากนางฮาการ์ภรรยาคนที่สองและชาวอาหรับภาคภูมิใจในอับราฮัมเช่นกัน ดังนั้น ชาวยิวจึงอ้างว่าอับราฮัมเป็นยิว ด้วยเหตุนี้ คัมภีร์กุรอานจึงกล่าวว่า
“อิบรอฮีม(อับราฮัม)มิได้เป็นยิวและมิได้เป็นคริสเตียน แต่ว่าเขาเป็นผู้ที่มั่นคงในความศรัทธา เป็นผู้ยอมจำนนต่อพระเจ้าและเขามิได้อยู่ในหมู่ผู้นำสิ่งใดมาเป็นภาคีกับพระเจ้า แน่นอน บรรดาผู้ใกล้ชิดอิบรอฮีมคือบรรดาผู้ปฏิบัติตามเขาและตามนบีผู้นี้(มุฮัมมัด)และบรรดาผู้ศรัทธาในตัวเขา พระเจ้าเป็นผู้ทรงคุ้มครองผู้ศรัทธาทั้งหลาย (โอ้บรรดาผู้ศรัทธา) ชาวคัมภีร์กลุ่มหนึ่งปรารถนาที่จะทำให้สูเจ้าหลงทาง แต่พวกเขามิได้ทำให้ใครหลงทางนอกจากพวกเขาเอง แต่พวกเขาไม่รู้สึก โอ้ชาวคัมภีร์เอ๋ย ไฉนสูเจ้าจึงปฏิเสธสัญญาณทั้งหลายของพระเจ้าทั้งๆที่สูเจ้าเองก็เห็นอยู่? โอ้ชาวคัมภีร์เอ๋ย ไฉนสูเจ้าจึงปะปนความจริงด้วยความเท็จและปิดบังความจริงทั้งๆที่สูเจ้ารู้ดี? (กุรอาน 3:67-72)
มาถึงตรงนี้ ผู้อ่านก็คงจะพอมองออกหรือคิดได้ว่าทำไมคัมภีร์กุรอานจึงมีเรื่องราวของบุคคลสำคัญๆทางศาสนาและเรื่องราวต่างๆที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ (ยังมีต่อ)
You must be logged in to post a comment Login