วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2567

สังคมจะมีปัญหาเมื่อประชากรน้อยลง

On September 20, 2024

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 20 ก.ย  67)

นบีมุฮัมมัดเกิดในคาบสมุทรอาหรับที่แผ่นดินร้อนระอุทุรกันดาร ในเมืองมักก๊ะฮฺที่ท่านถือกำเนิดนั้น ผืนดินเต็มไปด้วยโขดหินและเนินเขาที่ไม่สามารถเพาะเพาะปลูกอะไรได้  ชาวอาหรับจึงจำเป็นต้องเลี้ยงชีพด้วยการค้าขายทั้งทางบกและทางทะเลที่อยู่รอบๆ

เนื่องจากชาวอาหรับมีชีวิตแบบสังคมเผ่าที่ประกอบด้วยตระกูลต่างๆ   ความเข้มแข็งของเผ่าจึงขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ชายในเผ่า  ครอบครัวใดมีเด็กผู้ชายเกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องที่ญาติพี่น้องต่างยินดีและมีการเลี้ยงฉลองกัน

หากครอบครัวใดให้กำเนิดทารกเพศหญิง  คนในครอบครัวจะไม่ยินดีด้วยเพราะชาวอาหรับถือว่าเพศหญิงเป็นเพศที่อ่อนแอ  โตขึ้นเป็นสาวอาจถูกคุกคาม ยามสงครามเป็นภาระ  เมื่อแต่งงานกับผู้ชายเผ่าอื่นก็ต้องไปช่วยสร้างประชากรให้เผ่าของสามี  หากสามีตาย ภรรยาก็ตกเป็นมรดกของทายาทสามี

สภาพการณ์นี้เองที่ทำให้ชาวอาหรับก่อนสมัยอิสลามมีความรู้สึกว่าการมีลูกสาวคือความอัปมงคลของครอบครัวโดยเฉพาะครอบครัวที่ลำบากยากจน  ดังนั้น  บางครอบครัวจึงนำทารกเพศหญิงไปฝังทั้งเป็นตั้งแต่แรกเกิดเพราะกลัวว่าจะไม่สามารถเลี้ยงลูกสาวของตัวเองได้

แต่เมื่อนบีมุฮัมมัดเริ่มเผยแผ่อิสลาม  ท่านได้นำคำสอนของพระเจ้ามาบอกชาวอาหรับว่า “จงอย่าฆ่าลูกของสูเจ้าเพราะกลัวความยากไร้  เพราะพระเจ้าได้ประทานปัจจัยยังชีพแก่พวกเขาและเจ้าแล้ว”  นั่นหมายความว่าพระเจ้าได้เตรียมสิ่งจำเป็นในการดำรงชีพสำหรับเด็กทุกคนที่เกิดมารวมทั้งพ่อแม่ของเด็กด้วย เพราะพระเจ้าเป็นผู้ให้ชีวิต  ผู้กำหนดเพศของมนุษย์และผู้ประทานปัจจัย

เมื่อรู้จักและศรัทธาในพระเจ้า  ชาวอาหรับจึงเลิกฝังลูกสาวทั้งเป็น และเพื่อให้ชาวอาหรับยินดีที่ได้รับลูกเป็นของขวัญจากพระเจ้า  นบีมุฮัมมัดจึงสั่งให้มีการเลี้ยงฉลองเมื่อมีทารกแรกเกิด  ถ้าทารกเป็นเพศชาย  อย่างน้อยก็เชือดแพะหรือแกะสองตัว และหากทารกเป็นเพศหญิงก็เชือดแพะหรือแกะหนึ่งตัวเพื่อเอาเนื้อไปทำอาหารเลี้ยงญาติพี่น้องและเพื่อนบ้าน

นับแต่นั้นมา ทัศนคติเชิงลบต่อการมีทารกเพศหญิงก็หมดไปจากชาวอาหรับและเมื่อชนชาติใดเข้ารับอิสลามก็จะไม่มีทัศนคติเหมือนชาวอาหรับในยุคอวิชชาก่อนหน้าอิสลาม

แต่เมื่อชาติตะวันตกเริ่มมีความเจริญหลังยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ  ผู้คนทั่วโลกต่างหลงเชื่อทฤษฎีของมองธัสที่ว่าจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจะทำให้มนุษย์ขาดแคลนอาหาร  จึงมีการรณรงค์ด้วยสโลแกนว่า “ลูกมากจะยากจน” ผู้คนทั่วโลกจึงพากันคุมกำเนิดตามนโยบายวางแผนครอบครัวที่ติดมากับเงื่อนไขการกู้เงินจากธนาคารโลกเพื่อพัฒนาประเทศ

หลังการปฏิวัติเขียวหรือการปฏิวัติทางการเกษตร  โลกได้รู้ชัดแล้วว่ามนุษย์สามารถผลิตอาหารได้มากเกินความต้องการของประชากรโลกจนถึงบางครั้งต้องนำผลผลิตไปทำลายเพื่อรักษาราคาที่ดีที่สุดไว้สำหรับผู้ผลิต  แต่ความอคติต่อทารกเพศหญิงก็ยังไม่หมดไปจากมนุษย์

ชาวอาหรับก่อนหน้าอิสลามฝังทารกเพศหญิงทั้งเป็นหลังจากที่ทารกคลอดออกมาแล้ว แต่เมื่อวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้า  ครอบครัวชาวจีนยังถือว่าการมีทารกเพศชายเป็นสิ่งมงคล  ดังนั้น บางครอบครัว หากภรรยาคนใดตั้งครรภ์  สามีหรือคนในครอบครัวจะแนะนำให้ไปตรวจครรภ์ด้วยอุลตาซาวด์ หากรู้ว่าทารกในครรภ์เป็นเพศหญิง  ทารกหญิงก็จะถูกกำจัดทิ้งตั้งแต่อยู่ในครรภ์ด้วยการทำแท้ง

ปัจจุบัน  สภาวะเศรษฐกิจบีบคั้นจนทำให้ผู้คนกลัวความยากจน  มองการมีลูกเป็นภาระ จึงไม่อยากแต่งงานมีครอบครัว หรือถ้าแต่งแล้วก็จำกัดการมีลูก  จึงทำให้เด็กเกิดใหม่มีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆในขณะที่ผู้สูงอายุที่จะเป็นภาระของสังคมมีมากขึ้น  ปีรามิดประชากรที่ควรจะมีฐานประชากรรุ่นใหม่กว้างขึ้นกลับกลายเป็นแคบลงในขณะที่ยอดบนของปีรามิดคือผู้สูงอายุกลับกว้างขึ้น

ไม่อยากจะนึกเลยว่าสภาพของแต่ละประเทศจะเป็นอย่างไรหากเกิดสงครามที่ทำให้คนหนุ่มต้องไปตายในสนามรบจำนวนมากในขณะที่มีแม่ม่ายและคนชราที่ต้องการคนรุ่นหนุ่มมาคอยดูแล  แม้ในปัจจุบัน รัฐบาลบางประเทศจะส่งเสริมการมีบุตรด้วยการให้สวัสดิการต่างๆ  แต่กว่าถั่วจะสุก  งาก็ไหม้หมดแล้ว


You must be logged in to post a comment Login