วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

นายกฯชี้ป้องกันประเทศหน้าที่ของทุกคน งบกลาโหมจำเป็น

On February 19, 2019

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีวานนี้ (18 ก.พ.) กรณีที่มีหลายพรรคการเมืองชูนโยบายหาเสียงยกเลิกการเกณฑ์ทหารและลดงบกระทรวงกลาโหมว่า ทุกคนต้องเข้าใจว่าหน้าที่ในการป้องกันประเทศไม่ใช่ทหารฝ่ายเดียว แต่เป็นหน้าที่ของชายไทยทุกคนในประเทศนี้ที่ต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน ส่วนการเกณฑ์ทหารหรือการเป็นทหารนั้นถือเป็นหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “เรื่องนี้ผมไม่ได้ไปแก้ตัวให้ใคร แต่พูดในหลักการของรัฐบาล เพราะเรามีหน้าที่ในการป้องกันประเทศ ป้องกันชายแดน น่านน้ำ และน่านฟ้า รวมทั้งภารกิจที่ไม่ใช่สงคราม เช่น ปัญหายาเสพติด แรงงานต่างด้าว การลักลอบเข้ามาในประเทศ รวมทั้งการลักลอบค้าขายสินค้าจากต่างประเทศ ทั้งหมดต้องผ่านการดูแลของทหาร 7 กองกำลัง ซึ่งดูแลตามแนวชายแดนของประเทศกว่า 5,000 กิโลเมตร สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ทหารทำก็คือการช่วยพัฒนาประเทศ มีหน่วยงานต่างๆทั้งกองบัญชาการทหารสูงสุด หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ทั้งหมดที่ตั้งขึ้นมาก็เพื่อสนองต่อหน้าที่ทั้งหมด ขณะเดียวกันก็มีหน้าที่ในการเสริมกำลังพลให้กับหน่วยงานต่างๆ เช่น กระทรวงมหาดไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งมีบุคลากรจำกัด ทหารก็ต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือที่มีอยู่ไปช่วย”

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่ออีกว่า ในส่วนของพลทหารนั้นทุกคนต้องเข้าใจว่าหน่วยงานของทหารมีองค์ประกอบหลายส่วน ทั้งในส่วนของนายทหาร นายสิบ พลทหาร ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญ เช่น หมู่ปืนเล็ก หมู่หนึ่งจะมีผู้บังคับหมู่ 1 คน รองผู้บังคับหมู่ 1 คน ที่เหลือเป็นพลทหาร และมีหัวหน้าฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ต้องมีการประกอบกำลัง ไม่เช่นนั้นก็รบไม่ได้ในยามสงคราม ซึ่งทุกประเทศก็เป็นแบบนี้ ส่วนใหญ่เรานำแนวทางมาจากตะวันตกตั้งแต่โบราณมา เราต้องมีการเตรียมความพร้อม ถ้าหากต้องใช้กำลังก็ต้องมียุทธวิธี จึงต้องเตรียมการไว้ให้พร้อม ไม่ใช่ถึงเวลาแล้วไปเกณฑ์คนเข้ามา แล้วจะใช้อาวุธกันเป็นหรือ

“สิ่งสำคัญเราไม่ได้มองในแง่สงครามเพียงอย่างเดียว ถ้าไม่เกิดได้ก็เป็นเรื่องดี แต่ผลกระทบตามแนวชายแดนเกิดขึ้นได้ตลอด ถ้าเราไม่เข้มแข็งเพียงพอ ไม่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหมาะสม ไม่มีเทคโนโลยีเข้าไปเสริม จะใช้คนอย่างเดียวก็ลำบาก จึงขอให้ทุกคนเข้าใจด้วย เพราะตามหลักการแล้วทุกคนต้องเป็น แต่เมื่อเรากำหนดกรอบว่าเราต้องการเท่าไร เราก็ต้องคัดเลือกเอาที่จำเป็นไว้ก่อน แต่ถ้าเกิดสงครามขึ้นจริงก็ต้องเกณฑ์คนเพิ่ม”

ในส่วนของการเสนอให้ลดงบประมาณกระทรวงกลาโหม นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ต้องไปดูว่าแต่ละกระทรวงมีงบประมาณเท่าไร โดยเฉพาะกระทรวงกลาโหมแต่ละหน่วยมีงบประมาณอย่างไร แล้วทำไมจึงต้องมีการเพิ่ม ส่วนหนึ่งก็ต้องไปจัดซื้อของใหม่ๆเข้ามา เพราะของเก่าชำรุด เราใช้มาตั้งนานแล้ว 20-30 ปี บางอย่างหมดอายุ ซ่อมมาจนไม่รู้จะซ่อมอย่างไรแล้ว ก็ต้องจัดหายุทโธปกรณ์ขนาดหนักเราต้องมี ไม่อย่างนั้นจะเทียบเคียงประเทศอื่นไม่ได้ มีปัญหาในการฝึกร่วมกับต่างประเทศ รวมถึงการลาดตระเวนชายฝั่งชายทะเล หรือเมื่อภูมิภาคมีปัญหา ขอให้คิดตรงนี้ ขณะที่หลายกระทรวงก็มีการเพิ่มงบประมาณทุกปีตามสัดส่วน ซึ่งมีหลักการอยู่แล้ว ขอให้เข้าใจด้วย ไม่ใช่ไปลดคนนั้นให้คนนี้ ให้คนนั้นคนนี้ แต่จะต้องพิจารณาในรูปแบบคณะกรรมการ

“การหาเสียงจะเอาแต่สนุกปาก พูดอะไรก็ได้ไม่ต้องนึกถึงประเทศชาติและความเป็นจริง วันหน้าต้องรับผิดชอบด้วย ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาต้องรับผิดชอบทั้งหมด ในเรื่องของการช่วยเหลือภัยพิบัติ เรื่องน้ำท่วมอะไรต่างๆ ที่มีแต่ทหารที่จะออกมาทำงานได้ ยุทโธปกรณ์ทางทหารกว่า 50 เปอร์เซ็นต์จะเห็นว่านำมาใช้ดูแลประชาชนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นยานพาหนะ ไม่ใช่เก็บไว้ใช้ทางทหารอย่างเดียว รถดับเพลิง รถน้ำก็ไปแจกชาวบ้านตลอดเวลา ถ้าไปตัดงบทั้งหมดแล้วสิ่งเหล่านี้จะหายไป ถ้าเกิดพังจะทำอย่างไร”


You must be logged in to post a comment Login