วันพฤหัสที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2567

รู้เท่าทันเผด็จการ

On May 30, 2018

คอลัมน์โดนไปบ่นไป “รู้เท่าทันเผด็จการ”

โดย อนุดิษฐ์ นาครทรรพ์

(โลกวันนี้วันสุข วันที่ 1-8  มิถุนายน 2561)

ผมยังยืนยันความเชื่อตามแบบของ “เสรีชนคนเดินดินกินข้าวแกง” ว่า “เสรีภาพของบุคคลภายใต้กฎหมาย” เป็นสิทธิอันชอบธรรมของคนไทยทุกคนที่จะมีอิสระทางความคิดและสามารถทำอะไรก็ได้ตราบใดที่การกระทำเหล่านั้น “ไม่ผิดกฎหมาย” และเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด

การที่ฝ่ายเผด็จการใช้กฎหมายพิเศษและกลไกต่างๆในการปิดกั้นการแสดงออกและแสดงความคิดเห็นของประชาชน  จึงเป็นเสมือน “ดาบสองคม” ที่ผู้ใช้อำนาจต้องเผชิญกับคมดาบของตัวเองทุกครั้งที่ฟันลงไป ดังนั้น เราจึงเห็นความเสื่อมถอยของรัฐทหารที่ค่อยๆทยอยหมดเครดิตของการเป็น “ฮีโร่กู้ชาติ” ไปเรื่อยๆ

ขนาดที่ “มวลมหาประชาชน” มหามิตรผู้ใช้นกหวีดเป็นอาวุธขับไล่รัฐบาลเลือกตั้งเพื่อเปิดทางให้ทหารเข้ายึดอำนาจและครอบครองประเทศได้เป็นผลสำเร็จยังออกอาการส่ายหัว เพราะรับไม่ได้กับความล้มเหลวของการปฏิรูปประเทศตามสไตล์ “เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน”

เพราะที่ผ่านมาการปฏิรูปประเทศดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่คำพูดที่สวยหรูและสร้างความหวังให้กับชนชั้นนำของประเทศที่เชื่อมั่นว่าทหารคือคำตอบสุดท้าย

แต่พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆคนเหล่านี้จึงค่อยตระหนักรู้ว่าการสนับสนุนเผด็จการขึ้นมาปกครองประเทศนั้น  เลวร้ายยิ่งกว่าฝูงกบที่หลงผิดเลือกนกกระสามาเป็นนายเสียอีก

แต่จะทำยังไงได้ เพราะจะออกมาไล่กันอย่างเสรีเหมือนที่ทำไปแล้วกับรัฐบาลเลือกตั้งก็ทำไม่ได้ เพราะรัฐบาลทหารไม่ใช่กระสอบทรายที่ใครๆอยากจะระบายอารมณ์ทุบตีได้ตามใจชอบ ขืนซ่าออกมาปรี๊ดๆ ส่งเสียงดังกันเหมือนตอนที่ยังเป็นประชาธิปไตย รับรองว่าโดนจับเข้าค่ายปรับทัศนคติกันเป็นแถว

ส่วนท่านใดที่เป็นแกนนำอาจโดนดำเนินคดีด้วยข้อหา “พิลึกพิลั่นมหัศจรรย์เกินกว่าคำบรรยาย” แล้วแต่ผู้มีอำนาจจะเนรมิตขึ้นมาตามใจปรารถนา

สำหรับนักต่อสู้บางท่านอาจโดนจัดหนักถึงขั้นสูญเสียอิสรภาพอย่างไร้ทางสู้ในที่สุด

ดังนั้น เราจึงเห็น “คนดี” ทั้งหลายที่เคยออกมาเดินหน้ากู้ชาติกันอย่างรื่นเริงในอดีต และออกมาปาร์ตี้กันอย่างครึกครื้นสุดเหวี่ยงในวันที่เปิดทางให้ทหารออกมาปฏิวัติยึดอำนาจได้สำเร็จ

วันนี้กลับเงียบงันกันไปหมดอย่างไม่น่าเชื่อ แม้แต่ละคนจะรู้แก่ใจว่าสิ่งที่เผด็จการปฏิบัติอยู่ในวันนี้เป็นเรื่องไม่ถูกต้องและยอมรับไม่ได้ก็ตาม

คงเหลือแต่แกนนำฝ่ายประชาธิปไตยเท่านั้นที่ยังยืนเด่นท้าทายอำนาจจากปลายกระบอกปืน แม้ว่าหลายคนจะโดนเรียกไปปรับทัศนคติ หลายคนโดนดำเนินคดี และหลายคนโดนจองจำ สิ้นอิสรภาพ

แต่เหลือเชื่อที่ฝ่ายประชาธิปไตยกลับแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันกับที่ฝ่ายเผด็จการกลับค่อยๆอ่อนแรงลงทุกวัน

ผมดีใจที่ได้ยิน “คนดี” จำนวนไม่น้อยยอมรับว่าการลงทุนสนับสนุนฝ่ายเผด็จการขึ้นมาครองเมืองนั้น  เป็นสิ่งที่ผิดพลาด และยอมหันหลังให้กับลาภยศสรรเสริญที่ฝ่ายเผด็จการหยิบยื่นให้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และควรค่าแก่การให้อภัย

แต่ที่น่ายกย่องมากกว่านั้นก็คือ บุคคลสำคัญบางท่านที่นอกจากจะปฏิเสธผลประโยชน์ต่างๆมากมายแล้ว ยังกล้าที่จะยืนอยู่ตรงข้ามกับ “อำนาจนอกระบบ” ที่สามารถจัดการเชือดผู้ที่ไม่ให้ความร่วมมือและคนที่ไม่เห็นด้วยได้อย่างง่ายดาย  โดยเลือกที่จะหันกลับมาร่วมอุดมการณ์กับประชาชนผู้รักประชาธิปไตยอย่างไม่เกรงกลัวกับ “อำนาจเถื่อน”

ผมไม่เคยโกรธเกลียดบุคคลที่เห็นต่างและเคารพในความคิดของทุกฝ่ายเสมอ เพราะผมเชื่อว่าเราอยู่ร่วมกันได้โดยไม่จำเป็นต้องคิดเห็นอะไรที่เหมือนกัน

อยากเรียนว่า  สิ่งที่ผมเชื่อนั้นไม่ใช่อยู่ดีๆก็เกิดขึ้นเอง แต่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่ผมมีโอกาสได้สัมผัสมาตั้งแต่ยังเด็ก และได้เรียนรู้ว่ามีแต่ระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นที่เปิดโอกาสให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ และมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรี

แต่ระบอบเผด็จการเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม เพราะประชาชนต้องอยู่ในกรอบที่กำหนดไว้ให้เท่านั้น หากมีสิ่งใดอะไรก็ตามที่เป็นปัญหาอุปสรรคกับการปกครอง สิ่งนั้นต้องถูกกำจัดออกไปไม่ช้าก็เร็ว

การต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายเผด็จการในประเทศไทยเกิดขึ้นมานานแล้ว มีหลายครั้งที่ดูเหมือนฝ่ายประชาธิปไตยจะได้รับชัยชนะ เพราะได้รับการสนับสนุนจากคนส่วนใหญ่ของประเทศ

แต่พอบริหารประเทศไปได้ไม่นาน  ฝ่ายเผด็จการก็จะออกมาทำการรัฐประหาร โดยอ้างความชอบธรรมว่าฝ่ายตนเองได้รับการเรียกร้องจากประชาชนเช่นกัน

ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา ประเทศไทยมีการรัฐประหารมาแล้วถึง 13 ครั้ง วงจรอุบาทว์แบบนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อเนื่องมาโดยตลอด แม้ทุกคนทราบดีว่าการที่ทหารออกมายึดอำนาจจะทำให้ประเทศถอยหลังเข้าคลอง แต่คนส่วนใหญ่กลับเลือกที่จะเงียบ และปล่อยให้ฝ่ายอำนาจนิยมกระทำการกันไปตามอำเภอใจ

ทำไมคนไทยจึงยอมรับอำนาจนอกระบบโดยดี แถมยังมีหลายเหตุการณ์ที่คนจำนวนไม่น้อยกระโดดเข้าร่วมกับฝ่ายเผด็จการเสียเอง!

ข้อเท็จจริงเหล่านี้เกิดขึ้นหลายครั้งจนนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ทั้งไทยและเทศหลายคนเริ่มไม่แน่ใจว่า ตกลงแล้วระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองที่ดีที่สุดและเหมาะสมกับประเทศไทยจริงหรือเปล่า!

แต่ก็มีนักรัฐศาสตร์บางท่านที่ติดตามปรากฏการณ์นี้มาอย่างใกล้ชิดและสรุปเหตุผลไว้อย่างน่าสนใจ ซึ่งผมอ่านดูแล้วก็เห็นคล้อยตามไปด้วย เพราะใกล้เคียงกับประสบการณ์ที่สัมผัสมาด้วยตนเอง เลยขออนุญาตนำมาถ่ายทอดพอสังเขปเพื่อให้ท่านผู้อ่านลองวิเคราะห์กันต่อไปว่ามันเป็นแบบนี้จริงหรือไม่!

ตุลา

ในรายงานเล่าว่า ภายหลังวันมหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2516 เมื่อฝ่ายประชาธิปไตยเชื่อว่าการเสียสละของวีรชนจะนำมาซึ่งประชาธิปไตยที่แท้จริง ในทางกลับกันฝ่ายเผด็จการก็ตระหนักว่า “พลังของนิสิตนักศึกษา” เป็นอันตรายต่อการสืบทอดอำนาจของตนเองเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีฝ่ายเผด็จการคนไหนที่เชื่อว่า “พลังบริสุทธิ์” จากประชาชนจะส่งผลให้ผู้นำเผด็จการกลายเป็นทรราชได้อย่างไม่น่าเชื่อ

เมื่อเหตุการณ์ที่ผ่านมาปรากฏอย่างชัดเจนว่า  ขุนศึกแม่ทัพนายกองทั้งหลายต้องมาเพลี่ยงพล้ำทางการเมืองให้กับพวกเด็กที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม และปัญญาชนที่ปราศจากเขี้ยวเล็บ จากนั้นเป็นต้นมากระบวนการของการวางแผนระยะยาวเพื่อสถาปนาอำนาจของฝ่ายตนเองให้กลับมาเหมือนเดิมก็เริ่มขึ้น

ตุลา2นปี 2519 ผมอายุแค่ 11 ขวบ แต่ยังจำบรรยากาศการโฆษณาชวนเชื่อจากฝ่ายเผด็จการที่ปลุกระดมประชาชนผ่านช่องทางการสื่อสารของฝ่ายความมั่นคงทุกวัน

โดยข้อมูลที่ยัดใส่หูของผมจนทำให้เชื่ออย่างสนิทใจก็คือ นักศึกษา นักวิชาการ และกลุ่มบุคคลต่างๆที่เคลื่อนไหวทางการเมืองในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เวลานั้นเป็น “คอมมิวนิสต์”

ในเวลานั้นถ้าถามว่าคอมมิวนิสต์คืออะไร! ผมเชื่อว่ามีน้อยคนที่สามารถอธิบายและเข้าใจได้อย่างถูกต้องว่า คอมมิวนิสต์เป็นเพียงแค่ระบอบการปกครองระบบหนึ่งของโลกที่หลายประเทศเลือกใช้ แต่ไม่ใช่ระบบที่ดีที่สุดเหมือนระบอบประชาธิปไตยที่ประเทศไทยเลือกใช้อย่างแน่นอน

แทนที่จะใช้เหตุผลในการอธิบายข้อดีข้อเสียให้ทุกฝ่ายเข้าใจ ฝ่ายเผด็จการกลับฉวยโอกาสบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับคนส่วนใหญ่ด้วยการป้ายสีว่าคอมมิวนิสต์คือสิ่งที่เลวร้ายน่าสะพรึงกลัว และคนไทยทุกคนมีความชอบธรรมในการกำจัดสิ่งนี้ออกจากแผ่นดิน

ข้อมูลเหล่านี้ล้วนแล้วแต่สร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นระหว่างคนไทยด้วยกัน แม้แต่เด็กเล็กๆอย่างผมก็พลอยถูกปลูกฝังให้รู้สึกเกลียดชังนิสิตนักศึกษาเหล่านั้นไปด้วย

ดังนั้น ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 เมื่อทหาร ตำรวจ และกลุ่มมวลชนที่ถูกปลุกระดม สนธิกำลังกันเพื่อเข้าไป “สังหารหมู่” นักศึกษาและประชาชนที่อยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วยข้อหากระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์

เชื่อไหมครับว่าแม้แต่เด็กเล็กๆอย่างผมยังส่งเสียงเชียร์ว่า “ฆ่ามันๆ” ด้วยความสะใจและดีใจที่ได้เห็นไอ้พวก “หนักแผ่นดิน” เหล่านี้ถูกฆ่าหรือถูกทำทารุณกรรม​อย่างโหดเหี้ยม

โดยไม่ระแวงแม้แต่น้อยเลยว่าเราเป็นเพียงแค่เบี้ยตัวเล็กๆที่ถูกหลอกใช้เพื่อกำจัดศัตรูที่ขวางทางการขึ้นสู่อำนาจของฝ่ายเผด็จการเท่านั้นเอง

กว่าจะรู้ว่าตัวเองตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาชวนเชื่อและการปลุกระดมของฝ่ายเผด็จการก็ต้องใช้เวลาอีกหลายปีถึงจะรู้ว่าโดนหลอก

การใช้ “ไทยฆ่าไทย” นั้นถือเป็นกุศโลบายที่น่าอัปยศ และควรอย่างยิ่งที่จะต้องบันทึกความเลวทรามต่ำช้าเหล่านี้ไว้ในประวัติศาสตร์ เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้รู้ว่าใครบ้างที่อยู่เบื้องหลังการกระทำในครั้งนั้น

สิ่งเหล่านี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นอีก (ย้ำไม่ควรจะเกิดขึ้นอีก) แต่เราคงต้องยอมรับความจริงว่าเกือบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา การที่ประเทศไทยโดน “แช่แข็ง” และติดหล่มความขัดแย้งอยู่ขณะนี้อาจเป็นเพราะเราหลงกลอุบายของฝ่ายเผด็จการอยู่ใช่หรือไม่?

และฝ่ายเผด็จการเสี้ยมให้คนไทยเกิดความเกลียดชังกันเองอยู่ตลอดเวลาใช่หรือไม่?

นักวิชาการฝ่ายประชาธิปไตยหลายคนเชื่อว่าฝ่ายเผด็จการกระหายอำนาจต้องดำเนินยุทธศาสตร์นี้อย่างต่อเนื่อง เพราะการขาดความสามัคคี ความแตกแยกของคนในชาติ และการแบ่งสีแบ่งเหล่าแบ่งพวกถือเป็นยาอายุวัฒนะและวีซ่า “ต่ออายุ” ให้กับการสืบทอดอำนาจของชนชั้นปกครองที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คนไทยต้องรู้เท่าทันเผด็จการ

พวกเราทุกคนไม่จำเป็นต้องเชื่อหรือมีความเห็นเหมือนกัน ส่วนความเห็นต่างก็ไม่ได้แปลว่าเราต้องขัดแย้งกัน

การหันหน้ากลับมาคุยกันด้วยเหตุผลจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำ และต้องเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรีบนพื้นฐานของความปรองดอง

ปีนี้เป็นปี พ.ศ. 2561 แล้ว ขอเชิญชวนคนไทยทุกท่านมารู้เท่าทันเผด็จการด้วยกันดีกว่า ท่านใดรู้จักแล้วอยากจะคบหากันต่อไปก็คงต้องเชิญตามสะดวก เพราะในระบอบประชาธิปไตย ทุกคนต้องเคารพและฟังเสียงคนที่เห็นต่างด้วยเช่นกันครับ

 


You must be logged in to post a comment Login