- กลืนเลือดไม่ให้เสียใจPosted 1 day ago
- ระลึกถึงพ่อหลวง ร.9Posted 2 days ago
- 5 ธ.ค.วัดสวนแก้วแตกแน่Posted 3 days ago
- จะกลับมาแบบไหนPosted 4 days ago
- เลือกงานให้โดน บริหารคนให้เป็น ตาม“ลัคนาราศี”Posted 4 days ago
- ต่างศาสนา ต่างชาติพันธุ์ อยู่ร่วมกันภายใต้ความแตกต่างPosted 4 days ago
- โลภ•ลวง•หลง เกมพลิกชีวิต รีแบรนด์หรือรีบอร์นPosted 4 days ago
- กูไม่ใช่ไก่ต้มเว้ย! อย่ามาต้มกูเลย..Posted 4 days ago
- หยุดความรุนแรง-ลวงโลกPosted 5 days ago
- อ.เบียร์ช่วยวัดสวนแก้วPosted 1 week ago
เลือก ‘เผด็จการ’ หรือ ‘ประชาธิปไตย’?
โดนไปบ่นไป “เลือก ‘เผด็จการ’ หรือ ‘ประชาธิปไตย’?”
โดย อนุดิษฐ์ นาครทรรพ
(โลกวันนี้วันสุข วันที่ 11-18 พฆฤษภาคม 2561)
ข่าวคราวการเมืองในช่วงนี้คงไม่พ้นเรื่อง “ดูด” เพราะไม่ว่าจะหันไปทางวงการไหนก็มีแต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์และให้ความสนใจแต่เรื่อง “ดูด” นั่นก็หมายความว่ายังมีคนบางกลุ่มที่เชื่อว่า “พลังดูด” มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ในขณะเดียวกันกับที่บางฝ่ายกลับ “ไม่ให้” ความสำคัญหรือให้ “ราคา” กับเรื่องดังกล่าว
ผมเองน่าจะเป็นลูกครึ่ง เพราะจะว่าไม่ให้ราคาเลยก็ไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้สนใจติดตาม “พลังดูด” อย่างใกล้ชิดแต่อย่างใด เพราะผมเชื่อว่าสิ่งที่ฝ่ายเผด็จการกำลังทำอยู่เป็นสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะอ้าแขนเชื้อเชิญใครก็ตามให้ไปร่วมอุดมการณ์กับฝ่ายที่เชื่อมั่นและศรัทธากับการ “รัฐประหาร”
และผมก็เชื่อว่าเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของนักการเมืองหรือใครก็ตามที่เชื่อมั่นและศรัทธากับฝ่ายเผด็จการที่จะขอเข้าไปร่วมอุดมการณ์ของฝ่ายการเมืองที่ได้รับอำนาจรัฐมาจากการรัฐประหาร เพราะถ้าไม่มีคนเหล่านี้ ประเทศไทยของเราคงไม่ถูก “แช่แข็ง” มากว่า 4 ปีแล้วอย่างแน่นอน
การแบ่งแยกอุดมการณ์กันอย่างชัดเจนเช่นนี้อาจจะดีกับการตัดสินใจของประชาชนด้วยซ้ำไป เพราะสามารถแยกแยะได้ชัดเจนว่าพรรคการเมืองไหนเป็นฝ่าย “เผด็จการ” และพรรคการเมืองไหนเป็นฝ่าย “ประชาธิปไตย”
แม้ทุกพรรคการเมืองจะต้องประกาศเจตนารมย์ว่าตนเองเป็นพรรคการเมืองที่ยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยเหมือนกันหมดทุกพรรคก็ตาม แต่พรรคการเมืองที่พยายามจะตอบสนองการสืบทอดอำนาจของคสช. ย่อมไม่สามารถซ่อนความจริงในกรณีนี้ได้
ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองที่พึ่งตัดสินใจกระโดดเข้าร่วมกับฝ่ายเผด็จการในตอนนี้ หรือบางพรรคการเมืองที่ช่วยกัน “หามเสลี่ยงให้เผด็จการนั่ง” ตั้งแต่ก่อนการยึดอำนาจ
พฤติกรรมอีแอบประเภท“เกลียดตัวกินไข่เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง” แบบนี้ผมเชื่อว่าไม่รอดพ้นสายตาของคนไทยทั้งประเทศอย่างแน่นอน
การกระทำทั้งหลายย่อมอยู่ในความทรงจำของประชาชนและประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมดจะเป็นผู้ตัดสินใจ เองว่า เขาจะเลือกพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์อย่างไร!
เปิดหีบเมื่อไหร่นั่นแหละถึงจะรู้ว่า “เผด็จการ” กับ“ประชาธิปไตย” ใครจะอยู่หรือใครจะไป?
ดังนั้น ปล่อยให้เขามีสิทธิเสรีภาพในการ “ดูด” ได้อย่างสะดวกราบรื่นไปเถอะครับ เพราะผมไม่เชื่อว่านักการเมืองที่ชอบ “ถูกดูด” จะสามารถคว้ามือของประชาชนให้ไปกาบัตรเลือกตัวเองได้ ตราบใดก็ตามที่การตัดสินใจเลือกตัวแทนของประชาชนยังคงเป็นหน้าที่ของพวกเราและทุกคนยังต้องกาบัตรด้วยตัวเองเท่านั้น
มีคนจำนวนไม่น้อย รวมทั้งนักวิชาการบางท่านเปรียบเทียบห้วงเวลานี้ว่า เหมือนกับที่สมัย รสช. เรืองอำนาจ เพราะมีการจัดตั้งพรรคการเมืองโดยกลุ่มการเมืองต่างๆหรือทาบทามพรรคการเมืองทั้งหลายที่มีอยู่ในปัจจุบันให้เข้าไปเป็นแนวร่วมเพื่อหวังให้ “บิ๊กฝ่ายเผด็จการ” ได้สืบทอดอำนาจอย่างชอบธรรมต่อไป
โดยสูตรสำเร็จคือการรวมเสียงข้างมากในสภาเพื่อสนับสนุนฝ่ายเผด็จการให้ขึ้นดำรงตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” โดยได้รับความเห็นชอบจากตัวแทนของประชาชนนั่นเอง
ถ้าดูเผินๆการดำเนินการตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดก็เป็นเรื่องที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ถ้าวัดความชอบธรรมของเรื่องนี้แบบตรงไปตรงมาแล้ว การเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคมปี 2535 ที่นำไปสู่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬในเวลาต่อมายังดูว่ามีความชอบธรรมมากกว่ากติกาในการเลือกตั้งที่จะมีต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้เสียอีก
เพราะการเลือกตั้งในเดือนมีนาคมปี 2535 พรรคสามัคคีธรรมซึ่งเป็นพรรคที่ได้รับการเลือกตั้งมากที่สุดในขณะนั้น ได้รับการยอมรับจากพรรคการเมืองอื่นๆให้ทำหน้าที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลและมีสาเหตุเดียว(จริงๆ)ที่ประชาชนออกมาเดินขบวนขับไล่รัฐบาลหลังจากบริหารประเทศได้แค่เดือนเดียวนั่นก็คือการเลือกเอา“คนนอก” เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
แต่การเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ (ถ้ามี) หากยังใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 เป็นกติกาในการเลือกตั้ง เราจะพบว่ามีสมมติฐานมากมายหลายประเด็นที่ส่อได้ว่าจะกลายเป็นสาเหตุแห่งความวุ่นวาย
เริ่มตั้งแต่พรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งมากที่สุดอาจไม่ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล เรื่องนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในทันทีหลังจากผลการเลือกตั้งปรากฏแก่สาธารณะ
เพราะรัฐบาลที่จะจัดตั้งขึ้นในเวลาต่อมามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการสนับสนุนจากคสช. เนื่องจากอำนาจในการบริหารประเทศที่แท้จริงยังไม่ตกอยู่กับตัวแทนของประชาชน แต่ยังคงตกอยู่ในมือของ “ซูเปอร์บอร์ด” และกลไกต่างๆที่กำหนดเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ
ดังนั้น พรรคการเมืองที่ต้องการเป็นรัฐบาลและสามารถใช้อำนาจบริหารได้อย่างราบรื่นจึงต้องเลือกที่จะสวามิภักดิ์กับ“ฝ่ายเผด็จการ” เท่านั้น
ในขณะที่ฝ่ายประชาธิปไตยที่มีความประสงค์จะขับเคลื่อนนโยบายดีๆให้กับพี่น้องประชาชน หากไม่ยอม “เปลี่ยนลายเปลี่ยนสี” ก็เป็นไปได้สูงที่จะไม่ได้รับความร่วมมือจากพรรคการเมืองส่วนใหญ่และคงต้องยอมรับสภาพการเป็น “ฝ่ายค้าน” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นี่ยังไม่นับมือของสมาชิกวุฒิสภาอีก 250 เสียง ที่เก็บเอาไว้เป็น “หมัดเด็ด” เพื่อ“น็อคเอ้าท์” ฝ่ายประชาธิปไตยได้อีกทุกที่ทุกเวลาที่ปรารถนา
ดังนั้น ผลลัพธ์ของการฟอร์มรัฐบาลที่จะออกมาหลังเลือกตั้งจึงมีแนวโน้มสูงที่จะไม่เป็นไปตามความต้องการของเสียงส่วนใหญ่และอาจไม่เป็นไปตามหลักการพื้นฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยก็เป็นได้
ผมเองเชื่อมั่นและศรัทธาการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขมาโดยตลอด แม้ว่า “ประชาธิปไตย” อาจจะไม่ใช่การปกครองที่สมบูรณ์พร้อมในทุกมิติ แต่ก็ถือว่า “ดีที่สุด” เท่าที่มีการใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
คำว่า “ดีที่สุด” หมายถึง “ดีที่สุด” กับ“คนส่วนใหญ่” ของประเทศ ดังนั้น การใช้กฎหมายเพื่อบิดเบือนหรือสร้างประโยชน์ให้กับฝ่ายเผด็จการและฝ่ายที่นิยมเผด็จการ ซึ่งเป็นเพียง “เสียงส่วนน้อย” จึงเป็นการสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะจุดประเด็นความขัดแย้งขึ้นมาได้อีกครั้ง
สมมติฐานของผมจะ “ผิด” ในทันที ถ้าคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองที่สนับสนุนฝ่ายเผด็จการ ทั้งแบบเปิดเผยและไม่เปิดเผย เพราะถ้าเสียงส่วนใหญ่เลือกแบบนั้น ฝ่ายประชาธิปไตยต้องน้อมรับผลการตัดสินใจดังกล่าวอย่างแน่นอน
แต่ถ้าคนไทยส่วนใหญ่ตัดสินใจเลือกและยืนเคียงข้างพรรคการเมืองที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตยและต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ สมมติฐานของผมก็มีโอกาส “เป็นจริง” ขึ้นมาทันที
เพราะผมเชื่อว่า ฝ่ายเผด็จการจะใช้อิทธิพลและกลไกต่างๆทุกวิถีทางเพื่อการสืบทอดอำนาจของตนเองและพวกพ้องต่อไปและจะไม่ยอมรับการตัดสินใจของคนส่วนใหญ่อย่างแน่นอน
และเมื่อถึงเวลานั้นคงต้องดูกันต่อไปว่า “ประชาชนส่วนใหญ่” จะยอมให้ฝ่ายเผด็จการกดขี่ข่มเหงต่อไปอีกหรือไม่? และถ้าไม่ยอมจะเกิดอะไรขึ้น!!!
การเลือกตั้งครั้งต่อไปนี้จากนี้จึงสำคัญอย่างยิ่ง เพราะไม่ใช่แค่การ “เลือกคนที่รักเลือกพรรคที่ชอบ” เหมือนกับการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมา
แต่การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นการเลือกตั้งที่ประชาชนคนไทยต้องเลือกแล้วว่าจะตัดสินใจเลือกใครระหว่าง “เผด็จการ” กับ“ประชาธิปไตย”
ผมเชื่อว่ามีแค่ 2 ทางเลือกเท่านั้นจริงๆ
You must be logged in to post a comment Login