วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

ศึกชิงมหาวิทยาลัย / โดย ศิลป์ อิศเรศ

On June 12, 2017

คอลัมน์ : ร้ายสาระ
ผู้เขียน : ศิลป์ อิศเรศ

เบื้องหลังมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่ติดอันดับ 1 ใน 10 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของอเมริกา ครั้งหนึ่งเคยเกิดเรื่องอื้อฉาวระหว่างผู้บริหาร จนนำไปสู่การเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาของผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย

ปี 1850 เจน โลทรอพ สาวชาวเมืองนิวยอร์ก แต่งงานกับลีแลนด์ สแตนฟอร์ด นักกฎหมายหนุ่มไฟแรง หลังจากนั้นพวกเขาก็ย้ายถิ่นฐานไปตามรัฐต่างๆทั่วอเมริกา จนกระทั่งมาตั้งหลักปักฐานอย่างถาวรที่เมืองแพโล แอลโต รัฐแคลิฟอร์เนีย เพราะลีแลนด์สามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำได้จากที่นี่

มันไม่ใช่รายได้จากการว่าความ แต่เป็นรายได้จากการขายอุปกรณ์ขุดทองที่เขาฟันกำไรมหาศาล เพราะช่วงเวลานั้นเป็นยุคตื่นทองที่นักแสวงโชคยอมจ่ายเงินไม่อั้นเพื่อซื้ออุปกรณ์ขุดหาแร่ทองคำ เมื่อถึงช่วงทศวรรษ 1860 ลีแลนด์ก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้ว่าการรัฐและเป็นประธานบริษัทเดินรถไฟเซ็นทรัลแปซิฟิก ในเวลานั้นเขากลายเป็นผู้ที่มีฐานะร่ำรวยติดอันดับคนหนึ่งของอเมริกา

ปี 1868 เจนให้กำเนิดบุตรชายคนแรก ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ปรกตินักสำหรับในยุคสมัยนั้น เพราะเจนมีอายุมากถึง 39 ปี ด้วยเหตุนี้เองเธอจึงตั้งฉายาให้กับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนว่า “เด็กมหัศจรรย์” ลีแลนด์จูเนียร์ชื่นชอบวัตถุโบราณเป็นพิเศษ เขาใฝ่ฝันว่าโตขึ้นจะเป็นนักโบราณคดี

สานฝันให้ลูกชาย

ปี 1884 ลีแลนด์และเจนพาลูกชายท่องเที่ยวไปประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมโบราณ ขณะที่อยู่ในประเทศอิตาลีลีแลนด์จูเนียร์เกิดติดเชื้อไทฟอยด์ ลีแลนด์นั่งเฝ้าไข้ลูกชายอย่างไม่ห่างจนกระทั่งเผลอหลับไปแล้วฝันเห็นลูกชายพูดกับเขาว่า “พ่อจ๋า อย่าพูดว่าไม่รู้จะอยู่ไปเพื่ออะไร พ่อมีทุกสิ่งทุกอย่าง จงอยู่เพื่อมนุษยชาติ”

เมื่อตื่นขึ้นก็พบว่าลีแลนด์จูเนียร์เสียชีวิตแล้ว ลีแลนด์และเจนโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก ลีแลนด์หวนคิดถึงสิ่งที่ลูกชายบอกในความฝัน เขาบอกกับเจนว่าอย่าเสียใจไปเลย เพราะลูกของเราก็คือเด็กชาวแคลิฟอร์เนียทุกคน

พวกเขาตัดสินใจสร้างมหาวิทยาลัยให้เด็กชาวแคลิฟอร์เนียได้ศึกษาหาความรู้ฟรีๆโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับบุตรชายคนเดียวที่ด่วนจากไปก่อนที่จะได้เดินตามความฝันของตัวเอง

มูด เดรก คนทรงเจ้าที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น โหนกระแสโดยอ้างว่าได้เข้าทรงร่างลีแลนด์จูเนียร์ สิ่งที่ลีแลนด์ได้ยินนั้นมาจากการทำพิธีทรงเจ้าของเธอ ไม่ใช่การนอนหลับฝันไป ซึ่งหลายคนก็เชื่อคำพูดของมูด เพราะเจนมีนิสัยชอบทำพิธีเข้าทรงเรียกวิญญาณลูกชายมาพูดคุยเสมอๆ แต่ต่อมาภายหลังพบข้อมูลว่ามหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดก่อตั้งก่อนหน้าที่เจนจะรู้จักกับมูด

ฝ่าฟันอุปสรรค

มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเปิดทำการในปี 1891 รับนักศึกษารุ่นแรก 559 คน เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยแห่งแรกๆที่รับนักศึกษาหญิง หลังจากเปิดมหาวิทยาลัยได้เพียง 2 ปี ลีแลนด์ก็เสียชีวิต แต่เนื่องจากลีแลนด์เป็นประธานบริษัทเดินรถไฟเซ็นทรัลแปซิฟิก ซึ่งกู้ยืมเงินรัฐบาลมาลงทุนเป็นจำนวนมาก ทำให้รัฐบาลสั่งแช่แข็งทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดของลีแลนด์เพราะเกรงว่าจะเป็นหนี้สูญ

นั่นหมายถึงว่ามหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดขาดเงินทุนสนับสนุนอย่างกะทันหัน ไม่มีใครเชื่อน้ำยาแม่บ้านไร้อาชีพอย่างเจนว่าจะสามารถหาเงินจำนวนมากมาพยุงให้มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้

เจนจัดสรรเงินค่าใช้จ่ายส่วนตัวที่รัฐบาลอนุญาตให้เธอนำออกมาใช้ เธอใช้จ่ายอย่างกระเบียดกระเสียรเพื่อนำเงินส่วนใหญ่ไปมอบให้กับมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และนำที่ดินที่มีอยู่ไปให้เช่าทำกินเพื่อนำค่าเช่ามามอบให้กับมหาวิทยาลัยเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังขนเครื่องเพชรทั้งหมดออกวางขายทอดตลาด แต่โชคร้ายที่ไม่มีคนซื้อ

คณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยออกความเห็นให้เรียกเก็บเงินค่าเทอมจากนักศึกษาเพื่อแก้ไขสถานการณ์หรือไม่ก็ปิดมหาวิทยาลัยไปชั่วคราว แต่เจนไม่เห็นด้วย เธอต้องการสู้จนถึงที่สุด เมื่อถึงปี 1895 รัฐบาลก็ยกเลิกคำสั่งแช่แข็งทรัพย์สิน เจนมอบเงิน 30 ล้านดอลลาร์ เข้ากองทุนมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดโดยทันที

ความเห็นไม่ลงรอย

อุปสรรคการบริหารมหาวิทยาลัยไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้น เจนเผชิญกับปัญหานโยบายกำหนดทิศทางของมหาวิทยาลัยในอนาคต เดวิด สตาร์ จอร์แดน อธิการบดีมหาวิทยาลัย ต้องการเน้นเปิดสาขาด้านวิทยาศาสตร์ ขณะที่เจนต้องการให้เน้นทางด้านศิลปศาสตร์ อีกทั้งยังมีข้อขัดแย้งอื่นๆ เช่น การคัดเลือกตัวผู้สอน

เจนมุ่งมั่นที่จะบริหารมหาวิทยาลัยไปตามทิศทางที่เธอตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก นั่นคือเป็นอนุสรณ์ให้กับบุตรชายที่เสียชีวิต สิ่งที่เธอคิด สิ่งที่เธอทำ คือความต้องการของบุตรชาย หากมีอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงให้ผิดแผกไปจากแผนที่วางไว้ก็ต้องกำจัดออกไป

เจนไม่ได้เป็นแค่ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเท่านั้น เธอเป็นมหาเศรษฐีติดอันดับ มีเงินทองและอิทธิพลมากมาย เจนล็อบบี้คณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยเพื่อถอดถอนเดวิดออกจากตำแหน่งอธิการบดี

ชิงลงมือก่อน

ระหว่างเดินเรื่องถอดถอนเดวิดออกจากตำแหน่ง คืนหนึ่งในเดือนมกราคม 1905 เจนซึ่งมีนิสัยต้องดื่มน้ำแร่ก่อนนอน ขณะที่เธอยกขวดน้ำแร่ขึ้นดื่มนั้น เธอรู้สึกว่ามันมีรสขื่นขมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอรีบบ้วนทิ้งและวิ่งเข้าห้องน้ำล้วงคอให้อาเจียนออกมาให้หมด

วันรุ่งขึ้นเธอนำขวดน้ำแร่ไปส่งที่ห้องวิจัย พบว่ามันถูกเจือปนด้วยยาเบื่อหนูในปริมาณที่สามารถฆ่าคนได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที แน่นอนว่าคนที่นำยาพิษมาใส่ในขวดน้ำแร่ต้องเป็นคนใดคนหนึ่งที่อยู่ในบ้าน ตำรวจทำการสอบปากคำทุกคน แต่ไม่พบข้อพิรุธใดๆ

เจนรู้สึกไม่ปลอดภัย เธอเดินทางออกจากบ้านไปยังฮาวายพร้อมกับเบอร์ธา เบอร์เนอร์ เลขานุการคนสนิท เข้าพักที่โรงแรมโมอาน่า เมืองโฮโนลูลู แต่ฆาตกรก็ยังติดตามมาถึงที่นี่ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ เจนดื่มน้ำอัดลมก่อนเข้านอนที่เลขาฯเป็นคนนำมาให้

2 ชั่วโมงต่อมา เจนดิ้นทุรนทุรายร้องเสียงหลง “ฉันถูกวางยาพิษ มันเป็นการตายที่แสนทรมาน” แพทย์รีบเดินทางมาช่วยเหลือ แต่ก็ไม่สามารถช่วยได้ เจนเสียชีวิตในคืนนั้น แพทย์ 7 คนร่วมกันผ่าศพพิสูจน์ ทั้งหมดมีความเห็นตรงกันว่าเจนเสียชีวิตเพราะสารสตริกนินหรือยาเบื่อหนู

ประสาทหลอน

เดวิดรีบเดินทางมายังโฮโนลูลูทันทีที่ทราบข่าว เขาว่าจ้างนายแพทย์คนหนึ่งให้ทำการพิสูจน์ศพซ้ำอีกครั้ง คราวนี้ผลออกมาว่าเจนเสียชีวิตเพราะระบบหัวใจล้มเหลว ไม่พบสารพิษใดๆในร่างกาย พร้อมกับแถลงข่าวชี้นำว่าเจนมีประวัติจิตหลอน ซึ่งเห็นได้จากการที่เธอชอบจัดพิธีเข้าทรงในบ้าน

ตำแหน่งหน้าที่การงานของเดวิดทำให้คนทั่วไปเชื่ออย่างสนิทใจได้ไม่ยาก การสืบสวนหาสาเหตุการเสียชีวิตจึงถูกพับไป จนกระทั่งในปี 2003 โรเบิร์ต คัตเลอร์ อดีตศาสตราจารย์คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ทำการขุดคุ้ยเรื่องราวจนพบข้อมูลว่า ก่อนเสียชีวิตเจนกำลังเดินเรื่องปลดเดวิดออกจากตำแหน่ง ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้เชื่อได้ว่าเดวิดเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการเสียชีวิตของเธอ เพราะมีผลประโยชน์มากมายจากตำแหน่งอธิการบดี โดยเฉพาะการบริหารเงินทุนมูลค่าหลายล้านดอลลาร์

เบอร์ธา เบอร์เนอร์ เป็นผู้ต้องสงสัยเพียงคนเดียว เพราะเธออยู่กับเจนในเหตุการณ์วางยาพิษทั้ง 2 ครั้ง แต่เจนและเบอร์ธาสนิทสนมกันในฐานะเพื่อนมากกว่านายจ้างและลูกจ้าง อีกทั้งเจนจ่ายเงินเดือนให้กับเบอร์ธามากพอสมควรจนไม่น่าจะคิดทำร้ายเจนได้
ไม่ว่าผู้ลงมือวางยาพิษจะเป็นใครก็ตามคงยากที่จะสืบสวนหาข้อเท็จจริง เพราะเหตุการณ์ล่วงเลยมานานกว่า 100 ปี และคดีนี้ก็เป็นอีกคดีหนึ่งที่จะเป็นปริศนาไปตลอดกาล


You must be logged in to post a comment Login