วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2567

‘บิ๊กตู่’ไม่ตั้งพรรค / โดย ลอย ลมบน

On September 5, 2016

คอลัมน์ : จับกระแสการเมือง
ผู้เขียน : ลอย ลมบน

พลันที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ปรารภในทำนองที่ว่าคนที่จะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งต้องมาอย่างสง่างามและเป็นไปตามวิถีทางประชาธิปไตย

เสียงเชียร์ให้ตั้งพรรคการเมืองก็ดังกระหึ่ม

จากที่มีกระแสพรรคนอมินีของกองทัพหลังการประกาศตั้งพรรคประชาชนปฏิรูปของนายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตกลุ่ม 40 ส.ว. และอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)

กระแสการตั้งพรรคของทหารก็ดังยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อนายสมพงษ์ สระกวี สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ออกมาปูดว่ามีนายทหารที่เป็นเพื่อนกับ “บิ๊กตู่” มาถามความเห็นเรื่องการตั้งพรรคการเมือง

ตามคำบอกเล่าเห็นว่าที่ต้องการตั้งพรรคเพราะจะได้มาตามกลไกประชาธิปไตย จะมีความสง่างามกว่าการเป็นนายกฯคนนอก ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่ “บิ๊กตู่” พูดเอาไว้

นอกจากนี้ยังต้องการสร้างพรรคให้อยู่ได้นานๆ ไม่ต้องการเป็นพรรคเฉพาะกิจตั้งมาเพื่อการเลือกตั้งครั้งหน้าแล้วล้มไป

ไม่ต้องการใช้วิธีตกเขียว ส.ส. จากพรรคการเมืองอื่นเข้ามาอยู่ในพรรค เพราะเห็นบทเรียนมาแล้วจากพรรคสามัคคีธรรมที่เกิดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่หลังการรัฐประหารปี 2534 แต่ยิ่งใหญ่ได้แค่สมัยเดียวพรรคก็แตก

หากเป็นไปตามคำบอกเล่าก็คงอยากอยู่ทำภารกิจปฏิรูปให้เสร็จตามกรอบที่วางเอาไว้ 20 ปี ไม่อยากอยู่แค่ 8 ปี หรือ 2 สมัย

การจะอยู่ให้ได้เกิน 8 ปี ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้หมายถึง “บิ๊กตู่” คนเดียว แต่หมายรวมถึงการส่งภารกิจคนในกลุ่มก้อนเดียวกันก็ต้องตั้งพรรคการเมือง เพราะออพชั่นให้อำนาจ ส.ว. ที่มาจากการแต่งตั้งของ คสช. ร่วมโหวตเลือกนายกฯในสภากำหนดไว้แค่ 5 ปีเท่านั้น

เมื่อ ส.ว. หมดออพชั่นต้องเข้าสู่กลไกเลือกตั้งทางอ้อม ไม่มีอำนาจร่วมโหวตเลือกนายกฯ ถึงตอนนั้นหากจะไปให้ถึงเป้าหมายอยู่ปฏิรูป 20 ปี ก็ต้องตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาสู้ในสนามเลือกตั้ง

เสียงเชียร์ให้ “บิ๊กตู่” ตั้งพรรคการเมืองจึงดังกระหึ่ม แม้เจ้าตัวจะให้หนังหน้าไฟอย่าง พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาปฏิเสธเรื่องการตั้งพรรคแล้วก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ความเป็นไปได้ในตอนนี้เชื่อว่า “บิ๊กตู่” ไม่สนใจตั้งพรรคการเมืองเพื่อลงเลือกตั้งในสมัยหน้า

หากจะเป็นนายกรัฐมนตรีหลังเลือกตั้งสู้ใช้แนวทาง “ป๋าเปรมโมเดล” เหมือนที่หลายคนในฝ่ายสนับสนุนกลุ่มอำนาจปัจจุบันบอกกล่าวน่าจะง่ายกว่า

ไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องเปลืองตัวจากการถูกโจมตีช่วงหาเสียงเลือกตั้ง

ที่สำคัญการตั้งพรรคการเมืองยังต้องมีค่าใช้จ่ายอีกเป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้ก็ยังมองเห็นบทเรียนจากพรรคสามัคคีธรรมที่เกิดขึ้นหลังรัฐประหารปี 2534 พอหมดอำนาจหมดทุน อดีต ส.ส. ที่ไปกวาดต้อนมาจากพรรคการเมืองอื่นก็หนีหาย ปล่อยพรรคตายไปตามธรรมชาติ

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาในช่วงนี้ โดยเฉพาะการเปิดหน้านั่งเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง

หากจะมีก็ให้เป็นแค่พรรคนอมินีเพื่อรวบรวมเสียงสนับสนุนกับ ส.ว. ที่มีตุนเอาไว้แล้ว 250 เสียง ให้ส่งเทียบเชิญมาเป็นนายกรัฐมนตรีตามแนวทาง “ป๋าเปรมโมเดล” ง่ายกว่า

ความเป็นไปได้ถ้า พล.อ.ประยุทธ์จะคิดตั้งพรรคการเมืองน่าจะเป็นหลังเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งใน 2 ครั้งข้างหน้าแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทำดี มีผลงานเป็นที่ยอมรับ

ถ้าในช่วง 8 ปี ทำผลงานได้โดดเด่น คิดจะตั้งพรรคขึ้นมาตอนนั้นก็ยังไม่สาย เพราะจะได้เสียงตอบรับจากประชาชนอย่างล้นหลาม

ที่สำคัญจะเป็นเสียงตอบรับที่แท้จริงเสมือนเสียงตอบรับพรรคไทยรักไทยและ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในการลงเลือกตั้งครั้งที่สอง

ต่างจากเสียงชื่นชมสนับสนุนที่ได้รับอยู่ในตอนนี้ ซึ่งเมื่อจับใส่ตะแกรงร่อนแล้วยังไม่รู้ว่าจะเหลือเสียงสนับสนุนที่แท้จริงอยู่กี่มากน้อย

สู้รอทำผลงานสร้างเสียงตอบรับที่แท้จริงช่วงเป็นนายกฯ 2 สมัย 8 ปีจะดีกว่า

เมื่อถึงตอนนั้นแม้ไม่มีเสียง ส.ว. 250 เสียงคอยหนุนในสภาก็ไม่ใช่ปัญหา

เมื่อพิจารณาจากความเป็นไปได้ทั้งหมดแล้วจึงเชื่อว่าโอกาสที่ “บิ๊กตู่” จะตัดสินใจตั้งพรรคการเมืองโดยขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเองตามที่มีเสียงสนับสนุนอยู่ในตอนนี้จึงเป็นไปได้น้อยมาก

จะรีบตั้งพรรคให้เปลืองตัวทำไม ไว้ตั้งในวันหน้ายังไม่สาย และไม่มีอะไรเสียหาย


You must be logged in to post a comment Login