วันพฤหัสที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2567

คนตกงานมาวัดสวนแก้ว

On December 3, 2019

คอลัมน์ : สำนัก(ข่าว)พระพยอม

ผู้เขียน : พระพยอม กัลยาโณ

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 3 ธ.ค. 62)

เรื่องเศรษฐกิจมีผู้วิพากษ์วิจารณ์ วิเคราะห์กันไปเยอะแยะ ตั้งแต่ ดร.โกร่ง-วีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี พูดว่า เศรษฐกิจจะซึมยาว หรือคุณพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน บอกว่า รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของไทยที่กำลังทรุดหนัก แต่ดูเหมือนว่ามาตรการดังกล่าวเป็นเพียงมาตรการระยะสั้น เกรงว่าจะไม่เพียงพอที่จะฟื้นสภาวะเศรษฐกิจของไทยที่กำลังย่ำแย่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ เพราะเศรษฐกิจไทยที่ทรุดหนักเป็นผลมาจากการบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาดมาตลอด 5 ปี และมีแนวโน้มที่จะทรุดลงไปอีกจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่จะมาซ้ำเติม

คุณพิชัยบอกว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือให้ดี คิดเพียงการแจกเงิน แม้จะถูกท้วงติงว่าไม่เกิดประโยชน์แต่รัฐบาลยังคงดื้อรั้น ซึ่งผลจากจีดีพีที่ตกต่ำแสดงชัดเจนถึงความล้มเหลวของการแจกเงินสะเปะสะปะโดยประเทศไม่ได้พัฒนา การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล่าสุดดูเหมือนจะเป็นแนวคิดของข้าราชการประจำ เป็นเสมือนยาแก้ปวดที่บรรเทาอาการชั่วคราว แต่ไม่สามารถรักษาอาการป่วยหนักของประเทศได้

ที่น่าสนใจคือ ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตรองอธิการบดี และคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยไม่ได้วิกฤตสาหัสขนาดปี 2540 เพียงแต่ต้องดูข้อเท็จจริงว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่แค่ 1-2 ปี แต่คือระยะยาว ที่กระทบแน่คือสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ สอดแทรกด้วยการชุมนุมประท้วงที่ฮ่องกง ทั้งนี้ ถ้าโลกมีสันติประชาธรรมความขัดแย้งจะไม่เกิด เพราะผลประโยชน์ของทุนขนาดใหญ่เป็นปัญหา เป็นผลสืบเนื่องจากโลกาภิวัตน์เมื่อ 30-40 ปีที่ผ่านมา

ผศ.ดร.อนุสรณ์บอกว่า นิยามคำว่าเศรษฐกิจเผาจริงไม่มีในทางการ เผาจริงคือการตายแล้วเอาไปเผา แต่เศรษฐกิจไทยไม่ถึงขั้นนั้น ไม่เกิดวิกฤตเหมือนปี 2540 แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ มีการลงทุนน้อยเกินไป คนตกงาน เศรษฐกิจจะเป็นแบบกบต้ม กล่าวคือ ค่อยๆทรุดลง แต่ไม่ถึงฟองสบู่แตก ประเด็นสำคัญคือ ปัญหาเศรษฐกิจยังไงก็ไม่ถึงขนาดปี 2540 แต่จะมีปัญหาเรื่องไม่ฟื้นตัวแบบที่เราหวังกันว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น

อาตมาไปภาคใต้ ชาวบ้านที่หาดใหญ่ จ.สงขลา ก็บอกว่าแย่ และเมื่อไม่กี่วันมานี้โยมที่เคยอยู่ที่วัดแล้วกลับไปทำธุรกิจที่ จ.เชียงใหม่ ก็บอกมาว่า ได้ซื้อบ้าน ซื้ออะไรไว้ ปรากฏว่าขายไม่ออก แม้จะขายได้ก็ได้ในราคาต่ำ ที่ลงทุนไว้หวังจะเก็งกำไรก็ไม่ได้ แต่ยังใจชื้นว่ามันไม่ทรุดถึงขั้นวิกฤตเศรษฐกิจเหมือนปี 2540 ที่ฟองสบู่แตกแหลกลาญ

ทั้งนี้ จะมีคนตกงานจำนวนมาก และคนที่จะมาลงทุนสร้างโน่นสร้างนี่จะมีน้อยลง แต่คงไม่มีการปิดโรงงานมากมายเหมือนปี 2540 อาตมาจำได้ว่าต้องรับคนที่ตกงานมาไว้ที่วัดเพียบเลย เพราะโรงงานปิด บางคนก็กลับไปปลูกกล้วยปลูกอ้อยที่บ้านต่างจังหวัด ซึ่งกล้วยก็ถูกแสนถูก สมัยนั้นหวีละ 2-3 บาท เพราะปลูกกันเยอะเหลือเกิน กล้วยมาแพงเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แต่ตอนนี้สภาพของเกษตรกรก็ยังบอกไม่ถูก หน่อไม้ตอนนี้ราคาก็ดีขึ้นมานิดหนึ่ง ตอนนั้นหน้าฝนก็ลำบาก

ตอนนี้เห็นว่ามีอาจารย์พัฒนาคุณภาพหน่อไม้ดองสู่อาหารปลอดภัย ถ้าทำกันได้ อัดสุญญากาศ ใส่เชื้อที่ทำให้เก็บได้นานและไม่มีอันตราย ความปลอดภัยนี่สำคัญ ภาคเกษตรถ้าผลิตอะไรที่ปลอดภัย ส่งเสริมสุขภาพ ก็ยังเป็นที่ต้องการอยู่ แต่การลงทุนลงแรงมันไม่มากเหมือนแต่ก่อน จะไปชวนใครมาลงทุนก็ไม่กล้า ยิ่งมาเจอพวกที่หลอกให้มาลงทุน แชร์โน่นแชร์นี่เจ๊งกันอีก ยิ่งทำให้คนผวาหวาดกลัว

ปัญหาคนตกงานต้องมีแน่นอน บัณฑิตจบมาตกงานเป็นแสนๆคน ถ้าสถานการณ์ยังเป็นอย่างนี้และยังมีคนตกงานไปเรื่อยๆ อาตมาก็อยากจะบอกผ่านคอลัมน์นี้เลยว่า วัดสวนแก้วยังพอประทังไหว ยังพอจะรับคนที่ไม่มีใครอยากจะรับเพราะคุณภาพ ความรู้ ความสามารถไม่พอ แต่เรายังพอให้เป็นที่พักพิง เพราะตอนนี้ที่วัดก็จัดให้เป็นบ้านกึ่งวิถี โดยกรมคุมประพฤติคัดเลือกคนที่ออกจากคุก ออกจากตะราง คนที่ไม่มีที่ไป ได้มาอยู่อาศัยในโครงการร่มโพธิ์แก้วของวัดสวนแก้ว

ตอนนี้อาตมาเลี้ยงคนที่ออกจากคุกไว้เป็นพันๆคน ช่วยทำให้เขาสามารถอยู่รอด อยู่ได้ หวังว่าต่อแต่นี้ไปถ้าใครตกงานให้ลองนึกถึงวัดสวนแก้วก่อน อย่าเพิ่งไปฆ่าตัวตาย อย่าเพิ่งไปลักขโมยจี้ปล้นร้านทองหรือจี้ปล้นอะไรต่างๆแล้วต้องโดนจับติดคุก ติดตะราง มาลองดูโครงการที่อาตมาตั้งกองทุนไว้ เช่น กองทุนสัมมาชีพ กองทุนธนาคารน้ำ กองทุนผู้สูงวัย กองทุนชุบชีวิตยามตกอับ คนที่ตกงาน ตกอับ ลองมาที่วัดสวนแก้วกันดูก่อน

เจริญพร


You must be logged in to post a comment Login