วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

กัญชาธิปไตย?

On March 28, 2019

คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่  29 มีนาคม – 5 เมษายน   2562)

จุดเดือดทางการเมืองหลังการเลือกตั้งคือ ความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาลที่ 2 ขั้วการเมืองระหว่างพรรคพลังประชารัฐที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ กับพรรคเพื่อไทยที่มีพันธมิตรพรรคการเมืองที่ไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์และการสืบทอดอำนาจของระบอบ คสช.

วันที่ 27 มีนาคม พรรคเพื่อไทยที่ได้ ส.ส.เขตมากที่สุด 137 ที่นั่ง ร่วมกับ 5 พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ลงสัตยาบันร่วมกันในการหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของ คสช. ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทยนำโดย พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ หัวหน้าพรรค คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรค นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรค ส่วนพรรคอนาคตใหม่นำโดยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ และนายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย

ส่วนนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ แม้ไม่ได้มาร่วมแถลงข่าวก็ยืนยันว่าจะยืนอยู่ข้างฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งคุณหญิงสุดารัตน์ยืนยันว่า 6 พรรคมีเสียง ส.ส. เกิน 255 เสียง จึงมีความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาล โดยเรียกร้องพรรคการเมืองที่ประกาศต่อต้านการสืบทอดอำนาจมาร่วมกันสร้างการเมืองที่สร้างสรรค์ สร้างวัฒนธรรมการเมืองที่ดี สร้างประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้แข็งแกร่งและมั่นคง หยุดการสืบทอดอำนาจ หยุดวงจรอุบาทว์ เพื่อไม่ให้เป็นตราบาปกับลูกหลาน ถ้าทำภารกิจครั้งนี้ไม่สำเร็จก็ต้องอยู่ในระบอบ คสช. ไปอีกยาวนาน

นอกจากนี้ตัวแทนทั้ง 6 พรรคการเมืองยังจะไปยื่นหนังสือให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศผลการเลือกตั้ง 100% โดยเร็วที่สุด เปิดเผยคะแนนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งทุกหน่วยเลือกตั้ง อย่าให้ถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นธรรม ไม่เที่ยงธรรม

นายธนาธรกล่าวว่า สถานการณ์ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศในระยะยาว จึงต้องการหยุดยั้งอำนาจ คสช. โดยมีจุดยืน 5 ข้อคือ 1.หยุดวงจรอุบาทว์ 2.เชิญชวนพรรคการเมืองที่หาเสียงไม่สนับสนุน คสช. มาสร้างรัฐบาลประชาธิปไตย 3.นายกรัฐมนตรีควรมาจากพรรคการเมืองที่ได้ ส.ส. อันดับ 1 คือพรรคเพื่อไทย 4.การตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยมีแต่ทำให้สังคมเดินไปสู่ทางตัน และ 5.ให้ กกต. ทำหน้าที่อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม เปิดเผยผลการลงคะแนนเลือกตั้งทุกหน่วยเพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบได้

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เรียกร้องให้พรรคการเมืองร่วมต่อต้านระบอบ คสช. โดยไม่คำนึงถึงตำแหน่งและผลประโยชน์ทางการเมือง ส่วน กกต. ต้องมีความบริสุทธิ์ยุติธรรม คำนึงถึงบ้านเมืองและสถาบันพระมหากษัตริย์

นายวันมูหะมัดนอร์เตือนว่า การตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยเท่ากับไม่เคารพประชาชน การอาศัย ส.ว. จะไม่มีเสถียรภาพ ทำให้เศรษฐกิจแย่ลง จึงขอให้เห็นแก่ประชาชนและประเทศชาติ กกต. ต้องมีความอิสระและเป็นกลางอย่างแท้จริง สร้างความเชื่อมั่นให้คนทั้งประเทศ ไม่ควรลังเลกับอำนาจใดๆที่มากดดัน ทำไม กกต. ต้องประกาศผลการเลือกตั้งวันที่ 9 พฤษภาคมที่เป็นวันสุดท้าย ทั้งให้ข้อคิดว่าความกลัวอำนาจทำให้เสื่อม โดยเฉพาะประเทศชาติเสื่อม

2 พรรคแถลงจัดตั้งรัฐบาล

ก่อนหน้านี้ (25 มีนาคม) คุณหญิงสุดารัตน์พร้อมแกนนำพรรคเพื่อไทยได้แถลงจะจัดตั้งรัฐบาลในฐานะพรรคที่ได้ ส.ส.เขตมากที่สุด ทั้งที่ส่งผู้สมัคร ส.ส. แค่ 250 เขต ทั้งเรียกร้องให้ 250 ส.ว. ทำตามเจตนารมณ์ของประชาชน และทำให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย

ในวันเดียวกันหลังจากพรรคเพื่อไทยแถลง นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมแกนนำ ได้แถลงยืนยันจะรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลเช่นกัน ถ้าใครรวมเสียงได้มากที่สุดก็สามารถจัดตั้งรัฐบาล นี่คือหลักประชาธิปไตยที่แท้จริง โดยอ้างความชอบธรรมจากการได้เสียงประชาชนมากที่สุด 7.9 ล้านเสียง ซึ่งต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป

เพื่อไทยได้ ส.ส. มากที่สุด

ส่วนผลการเลือกตั้ง กกต. ประกาศเพียง ส.ส.เขตอย่างไม่เป็นทางการ (94%) จำนวน 350 เขต เมื่อวันที่ 26 มีนาคม โดยจะประกาศอย่างเป็นทางการวันที่ 9 พฤษภาคมที่เป็นวันสุดท้ายตามกฎหมายเลือกตั้ง ปรากฏว่าพรรคเพื่อไทยได้ ส.ส. 137 คน พรรคพลังประชารัฐ 97 คน พรรคภูมิใจไทย 39 คน พรรคประชาธิปัตย์ 33 คน พรรคอนาคตใหม่ 30 คน พรรคชาติไทยพัฒนา 6 คน พรรคประชาชาติ 6 คน พรรครวมพลังประชาชาติไทย 1 คน และพรรคชาติพัฒนา 1 คน

ส่วน ส.ส.บัญชีรายชื่อ กกต. แถลงเพียงคะแนนเสียงที่แต่ละพรรคได้จากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 51,427,890 คน ผู้มาใช้สิทธิ 35,219,621 คน (68.48%) บัตรดี 32,706,921 บัตร (92.87%) บัตรเสีย 1,987,962 บัตร (5.64%) ไม่ประสงค์ลงคะแนน 524,722 บัตร (1.49%)

ปรากฏว่าพรรคพลังประชารัฐได้มากที่สุด 7,939,937 คะแนน พรรคเพื่อไทย 7,423,361 คะแนน พรรคอนาคตใหม่ 5,871,137 คะแนน พรรคประชาธิปัตย์ 3,704,654 คะแนน พรรคภูมิใจไทย 3,512,446 คะแนน พรรคชาติไทยพัฒนา 736,948 คะแนน พรรคประชาชาติ 457,482 คะแนน พรรครวมพลังประชาชาติไทย 391,728 คะแนน พรรคชาติพัฒนา 237,287 คะแนน ฯลฯ จากจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 35,219,621 คน ตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการ (อาจมีการคลาดเคลื่อนเล็กน้อยในภายหลัง) ปรากฏว่าพรรคเพื่อไทยไม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเลย ทำให้แกนนำพรรคหลายคนรวมถึงคุณหญิงสุดารัตน์ไม่ได้เป็น ส.ส.

เมื่อคำนวณเบื้องต้นอย่างไม่เป็นทางการ พรรคที่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อมากที่สุดคือ พรรคอนาคตใหม่ 58 ที่นั่ง พรรคประชาธิปัตย์ 21 ที่นั่ง พรรคพลังประชารัฐ 21 ที่นั่ง พรรคภูมิใจไทย 13 ที่นั่ง พรรคเสรีรวมไทย 11 ที่นั่ง พรรคเศรษฐกิจใหม่ 6 ที่นั่ง พรรคเพื่อชาติ 5 ที่นั่ง พรรครวมพลังประชาชาติไทย 4 ที่นั่ง พรรคชาติไทยพัฒนา 4 ที่นั่ง พรรคพลังท้องถิ่นไท 2 ที่นั่ง พรรคชาติพัฒนา 2 ที่นั่ง พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย 1 ที่นั่ง พรรคพลังปวงชนไทย 1 ที่นั่ง พรรคพลังชาติไทย 1 ที่นั่ง

สรุปจำนวน ส.ส. ทั้ง 500 คนอย่างไม่เป็นทางการ พรรคเพื่อไทยได้ 137 เสียง พรรคพลังประชารัฐ 118 เสียง พรรคอนาคตใหม่ 87 เสียง พรรคประชาธิปัตย์ 54 เสียง พรรคภูมิใจไทย 52 เสียง พรรคเสรีรวมไทย 11 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 11 เสียง พรรคประชาชาติ 6 เสียง พรรคเศรษฐกิจใหม่ 6 เสียง พรรคเพื่อชาติ 5 เสียง พรรครวมพลังประชาชาติไทย 5 เสียง พรรคชาติพัฒนา 3 เสียง พรรคพลังท้องถิ่นไท 2 เสียง พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย 1 เสียง พรรคพลังปวงชนไทย 1 เสียง พรรคพลังชาติไทย 1 เสียง

“อนาคตใหม่” ผงาดการเมือง

ภาพรวมการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคเพื่อไทยกวาด ส.ส. ในภาคเหนือและอีสาน ส่วนพรรคพลังประชารัฐกินเรียบภาคกลาง แต่ที่เป็นปรากฏการณ์สำคัญคือพรรคอนาคตใหม่ที่มาแรงเกือบทุกพื้นที่ แม้ไม่ได้ ส.ส. ก็ได้คะแนนเสียงจากประชาชนจำนวนมาก

พรรคอนาคตใหม่ได้ ส.ส. มากเป็นอันดับ 3 กว่า 80 ที่นั่ง รวมทั้งได้ ส.ส.เขตในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะกรุงเทพฯได้ถึง 9 ที่นั่ง และหลายพื้นที่ยังล้ม “ช้าง” เจ้าของพื้นที่รุ่นเก๋า ซึ่งสะท้อนถึงเสียงของคนรุ่นใหม่และอิทธิพลโซเชียลมีเดียที่เปลี่ยนกระแสเป็นคะแนน ทำให้นายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่กลายเป็นขั้วการเมืองที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน

“ประชาธิปัตย์” หมดสภาพ

ที่พลิกล็อกแบบถล่มทลายคือพรรคประชาธิปัตย์ที่พ่ายแพ้ทุกพื้นที่แบบหมดสภาพ พรรคประชาธิปัตย์ที่ถูกคาดการณ์ว่าจะเป็นตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อาจได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง กลับพ่ายแพ้แบบหมดรูปและต้องประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคตามที่ให้สัญญาไว้

นอกจากพื้นที่กรุงเทพฯจะไม่ได้ ส.ส. เลยแม้แต่คนเดียว พื้นที่ภาคใต้เสาไฟฟ้ายังถูกโค่นไปหลายพื้นที่ แม้แต่จังหวัดตรังของนายชวน หลีกภัย ก็ถูกพรรคพลังประชารัฐเฉือนไป 1 ที่นั่ง โดยใน 14 จังหวัดภาคใต้ 50 เขต ปรากฏว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส. แค่ 22 ที่นั่ง พรรคพลังประชารัฐได้ไป 13 ที่นั่ง พรรคภูมิใจไทย 8 ที่นั่ง พรรคประชาชาติ 6 ที่นั่งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และพรรครวมพลังประชาชาติไทยของ “ลุงกำนัน” ได้เพียง 1 ที่นั่งที่ชุมพร ขณะที่สุราษฎร์ธานีตระกูล “เทือกสุบรรณ” ไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว

8 เเสนลงชื่อถอดถอน กกต.

การแถลงผลคะแนนการเลือกตั้งที่ 94% และประกาศเพียงรายชื่อ ส.ส.เขต 350 เขต ทำให้ กกต. ถูกตั้งคำถามมากมายเรื่องความไม่โปร่งใส เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้มีปัญหาในการจัดการเลือกตั้งหลายพื้นที่ ตั้งแต่ระดับคณะกรรมการใหญ่ลงไปถึงเจ้าหน้าที่ประจำหน่วย รวมถึงหลักฐานต่างๆที่มีการร้องเรียนและนำมาเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ ทั้งกรณีบัตรเสีย บัตรเกิน กรณีการใช้สิทธิล่วงหน้าที่นิวซีแลนด์ และการนับคะแนนในหลายหน่วยเลือกตั้ง ฯลฯ

ทำให้มีผู้รณรงค์ให้ร่วมลงชื่อถอดถอน กกต. ผ่านเว็บไซต์ change.org ระบุเหตุผลให้ถอดถอน กกต. ว่า “ส่อเเววทุจริตเเละมีข้อครหามากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย” ปรากฏว่ามีผู้ร่วมลงชื่อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเวลา 16.23 น. วันที่ 28 มีนาคม มีผู้ลงชื่อเเล้วทั้งสิ้น 800,176 คน ซึ่งเว็บไซต์ตั้งเป้า 1 ล้านคน หลังจากนั้นจะยื่นต่อ กกต.

ขณะที่การประกาศผลการเลือกตั้งที่ กกต. หยุดไว้ที่ 94% ซึ่ง พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. อ้างว่าทำตามประกาศราชกิจจานุเบกษาที่กำหนดให้ กกต. แจ้งผลเบื้องต้นได้ไม่เกิน 95% และนายณัฏฐ์ เล่าสีห์สวกุล รองเลขาธิการ กกต. ยังโบ้ยให้ประชาชนทุกคนต้องอ่านประกาศราชกิจจานุเบกษานั้น “ใบตองแห้ง” ได้โพสต์เฟซบุ๊ค Atukkit Sawangsuk ฉีกหน้าว่าพบ “ความงี่เง่าของ กกต.” จึงเอามาตีแผ่ว่า เป็นระเบียบของ กกต. เองที่ประกาศเมื่อ 26 ธันวาคม 2561 ตอนนั้นน่าจะยังไม่มีใครทันเฉลียวใจจึงไม่ได้ทักท้วง ระเบียบนี้ไม่มีบัญญัติไว้ในกฎหมายเลือกตั้ง และน่าจะขัดเจตนารมณ์ของกฎหมายเลือกตั้งที่ว่าการนับคะแนนต้องกระทำโดยเปิดเผยตั้งแต่ที่หน้าหน่วยและที่เขตเลือกตั้ง

ส่วนการอ้าง 95% ยังใช้ผิดที่อีก เพราะในกฎหมายบอกว่า การประกาศรับรองผลการเลือกตั้งเป็นทางการ ถ้าประกาศไม่ได้ถึง 100% (คือยังมีบางเขตโดนใบเหลืองใบแดง) ให้ประกาศอย่างน้อย 95% จึงจะเปิดสภาได้

เลือกตั้งห่างไกลมาตรฐานสากล

ขณะที่พรรคอนาคตใหม่ได้ยื่นเอกสารต่อ กกต. ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ พ.ศ. 2540 ให้เปิดเผยข้อมูลและตัวเลขของการใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนในการเลือกตั้ง ส.ส. รายหน่วยเลือกตั้งทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนและพรรคการเมืองมีส่วนร่วมในการตรวจสอบความถูกต้องของการใช้สิทธิออกเสียงของประชาชนให้เป็นไปอย่างสุจริตเที่ยงธรรม

เครือข่ายเอเชียเพื่อการเลือกตั้งเสรี (ANFREL) องค์กรระหว่างประเทศด้านการสังเกตการณ์เลือกตั้ง ได้ร้องเรียน กกต. กรณี ghost voter ว่า อย่างน้อยหากเป็นปัญหาทางเทคนิคก็ต้องสามารถอธิบายได้ แต่ กกต. กลับไม่อธิบาย ทั้งได้บันทึกข้อสังเกตเรื่องการใช้ดุลยพินิจในการระบุบัตรเสียกว่า 2.8 ล้านใบ รวมถึงการนับคะแนนที่เกิดจากความผิดพลาดในคืนวันเลือกตั้ง ทำให้เกิดความเสียหายต่อความน่าเชื่อถือในการจัดการเลือกตั้งครั้งนี้ซึ่งห่างไกลมาตรฐานสากล

สหภาพยุโรป (อียู) กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐและอังกฤษ ได้แถลงในทำนองเดียวกันเรียกร้องให้ กกต. เร่งประกาศผลการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด และตรวจสอบข้อร้องเรียนที่ผิดปรกติต่างๆให้เกิดความกระจ่างด้วยความรวดเร็วและโปร่งใส

“ทักษิณ” ฟ้องโลกหดหู่เศร้าใจ

อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร เขียนบทความแสดงความเห็นในหน้าบรรณาธิการ “Op-Ed” หนังสือพิมพ์ The New York Times ถึงการเลือกตั้งครั้งนี้ว่า รู้สึกประหลาดใจกับผลการเลือกตั้งและการทำงานของ กกต. ชุดนี้ซึ่งรัฐบาลทหารเป็นผู้แต่งตั้งว่ามีความถูกต้อง โปร่งใส และน่าเชื่อถือแค่ไหน ทั้งที่ประเทศไทยควรจะมีรัฐบาลที่สะท้อนเจตจำนงของประชาชน ไม่ใช่เจตจำนงของรัฐบาลทหาร นี่คือเรื่องที่น่าหดหู่และเป็นช่วงเวลาที่เศร้าใจสำหรับประเทศของผม

นอกจากนี้อดีตนายกฯทักษิณยังให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยกรณีทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จร่วมงานมงคลสมรส น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และนายปิฎก สุขสวัสดิ์ ที่โรงแรมโรสวูดในฮ่องกง ทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นมิตรภาพที่มีกันมานานกว่า 30 ปี ตั้งแต่ท่านยังอยู่กับปีเตอร์ เจนเซ่น และท่านก็ให้เกียรติตนเหมือนเพื่อนที่ใกล้ชิดคนหนึ่ง ท่านขยัน ชอบทำงาน และอยากเห็นบ้านเมืองดี และตนไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเสนอชื่อทูลกระหม่อมเป็นผู้สมัครในบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีของพรรคไทยรักษาชาติ ตนอยู่เมืองนอกในฐานะผู้สังเกตการณ์ เป็นกองเชียร์เฉยๆ ทั้งยืนยันว่า “ไม่เคยคิดดึงฟ้าต่ำ มีแต่ยกฟ้าสูง”

กกต. รับ “ขัดข้องทางเทคนิค”

วันที่ 26 มีนาคม สำนักงาน กกต. ได้ชี้แจงกรณีที่มีประเด็นข้อสงสัยเกี่ยวกับการรายงานผลนับคะแนนการเลือกตั้ง ส.ส. อย่างไม่เป็นทางการที่ปรากฏทางสื่อสังคมออนไลน์ว่ามีจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ใช้ลงคะแนนมากกว่าจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งนั้น ข้อมูลที่ปรากฏเป็นข่าวเป็นข้อมูลที่อยู่ในขั้นตอนการรายงานผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการจากบางหน่วยเลือกตั้งไปยัง กกต.ประจำเขตเลือกตั้งและสำนักงาน กกต.ประจำจังหวัด เป็นข้อมูลที่ยังไม่มีความสมบูรณ์ครบถ้วนทุกหน่วยเลือกตั้ง ประกอบกับระบบการรายงานผลในช่วงเวลาดังกล่าวเกิดความขัดข้องทางเทคนิค ทำให้ข้อมูลที่รายงานออกไปคลาดเคลื่อน

หลังจากสำนักงาน กกต. ตรวจพบแล้วจึงดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องในทันที ทั้งนี้ การรายงานผลการนับคะแนนที่ดำเนินการครบถ้วนทุกหน่วยเลือกตั้งในขั้นสุดท้ายเป็นข้อมูลจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง บัตรดี บัตรเสีย บัตรไม่ประสงค์จะเลือกผู้สมัครผู้ใดที่ถูกต้องตรงกันแล้ว

กรณีที่มีภาพปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์ว่ามีทหารย่านสนามเป้ามาใช้สิทธิเลือกตั้ง และมีภาพทหารบางนายชะโงกเข้าไปในคูหาเลือกตั้งของทหารนายอื่นที่กำลังกาบัตรลงคะแนนอยู่นั้น กกต. มีคำสั่งให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าวแล้ว หากพบว่าการลงคะแนนดังกล่าวมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม กกต. จะสั่งให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เช่น สั่งให้มีการลงคะแนนเลือกตั้งของหน่วยเลือกตั้งนี้ใหม่

เปิดเกมชิงจัดตั้งรัฐบาล

ประเด็นการจัดตั้งรัฐบาลระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคพลังประชารัฐที่ต่างก็อ้างความชอบธรรมนั้น ไม่ว่าจะมีการแถลงข่าวหรือแถลงตอบโต้กันอย่างไร วันนี้สถานการณ์ก็ยังไม่นิ่งจนกว่าจะมีการประกาศผลการเลือกตั้งทั้งหมดอย่างเป็นทางการ

การปล่อยข่าวการจัดตั้งรัฐบาลและการจับขั้วพรรคการเมืองจึงยังมีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงข่าวการจัดตั้งรัฐบาลในพัน 1 รอ. อ้างชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็น “ผู้จัดการรัฐบาล” ร่วมกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่าพูดคุยกับหัวหน้าพรรคและตัวแทนของพรรคการเมืองต่างๆให้สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์

แม้แกนนำพรรคต่างๆจะปฏิเสธ แต่การเจรจาต่อรองกับพรรคต่างๆให้ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลก็เกิดขึ้นก่อนปิดหีบเลือกตั้งแล้ว แม้การต่อรองตำแหน่งและผลประโยชน์ต่างๆจะเป็นเรื่องปรกติ แต่การจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ถือว่าไม่ปรกติ เพราะเป็นการประกาศจุดยืนของแต่ละพรรคอย่างชัดเจนระหว่างฝ่ายที่สนับสนุน “เผด็จการ” และ “ลุงตู่” กับฝ่าย “ประชาธิปไตย” ที่ประกาศส่ง “ลุงตู่กลับบ้าน”

“หญิงหน่อย” สอน พปชร.

คุณหญิงสุดารัตน์โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คกรณีพรรคพลังประชารัฐประกาศจัดตั้งรัฐบาลแข่งโดยอ้างว่าได้คะแนนเสียงจากประชาชนเป็นอันดับหนึ่งว่า พรรคที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง 350 เขต แต่ได้จำนวน ส.ส. น้อยกว่าพรรคที่ลงสมัครแค่ 250 เขต แล้วออกมาบอกว่าตัวเองได้คะแนนนิยมจากคนทั้งประเทศมากกว่าควรจะได้จัดตั้งรัฐบาล แต่ระบอบรัฐสภาไม่ได้คิดแบบนั้น

ประเด็นแรก คือกติกาที่บิดเบี้ยว ตั้งใจออกแบบให้นำระบบ ส.ส. พึงมีมาคิด เพื่อตัดคะแนนพรรคที่คนนิยมและได้จำนวน ส.ส.เขตมากที่สุด เพื่อทำให้ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อน้อยที่สุด นี่คือกับดักอย่างหนึ่งที่จงใจให้เกิดความยากลำบากในการแข่งขัน เพราะไม่ต้องการให้พรรคที่มีคะแนนนิยมซึ่งแสดงผ่านจำนวนเขตที่มากเป็นพรรคที่แข็งแรงเกินไป

ประเด็นที่ 2 คือการโหวตในสภา เมื่อคิดจาก ส.ส. 1 คน มีคะแนนโหวตเท่ากับ 1 คะแนน โดยเสียงข้างมากในสภาจึงมีค่าเท่ากับ ส.ส. ที่โหวตเป็นจำนวนมากกว่าอีกฝ่าย ไม่ใช่การคิดคะแนนจาก ส.ส. คนไหนได้คะแนนเลือกตั้งมาเท่าไรแล้วจะกลายเป็นเสียงข้างมาก

คุณหญิงสุดารัตน์ยังระบุว่า “แข่งขันในสนามเดียวกัน ออกแบบกติกาเอาเปรียบคนอื่นมากมายมหาศาลตั้งแต่จุดสตาร์ตยันเส้นชัย แต่จำนวน ส.ส. ก็ยังแพ้อยู่ดี เข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 2 แต่ขอรับเหรียญทองบนแท่นอันดับ 1 แบบนี้ก็ได้เหรอคะ”

“เพื่อไทย” ชอบธรรมตั้งรัฐบาล

ผศ.ดร.พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊คกรณีพรรคพลังประชารัฐอ้างถึงคะแนน Popular Vote ได้มากกว่าพรรคเพื่อไทย ซึ่งส่งผู้สมัคร ส.ส. เพียง 250 เขต แต่ได้ ส.ส.เขต 137 ที่นั่ง มากกว่าพรรคพลังประชารัฐ แสดงความเห็นในเชิงวิชาการ 3 ข้อเกี่ยวกับการอ้างคะแนน Popular Vote

1.“ระบอบประชาธิปไตยระบบผู้แทน” หรือ “Representative democracy” ซึ่งรัฐธรรมนูญไทยได้มีการรับรองไว้ เป็นระบอบที่ถือเอา “ผู้แทนประชาชน” (Representative) เป็นสำคัญ หาใช่ “ระบอบประชาธิปไตยทางตรง” หรือ “Direct democracy” ที่ถือเอาการแสดงออกของตัวประชาชนโดยตรงเป็นสำคัญ

การกล่าวอ้างถึงความชอบธรรมว่ามีคะแนนเสียงของประชาชนที่เลือกพรรคพลังประชารัฐมาโดยตรงมากกว่าพรรคอื่นจึงเป็นการอ้างถึงระบอบการปกครองที่ผิดฝาผิดตัว อีกทั้งยังสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นมากมายหากพรรคอื่นๆจะมีการกล่าวอ้างเช่นเดียวกัน เช่น พรรค ก. ได้คะแนน Popular vote ในกรุงเทพฯหรือภาคเหนือ ฯลฯ มากที่สุด ย่อมมีความชอบธรรมในการดูแลกรุงเทพฯหรือภาคเหนือ ฯลฯ มากกว่าพรรคอื่น

ทั้งหมดจะนำไปสู่ความขัดแย้งแตกแยกที่สะท้อนถึงความไม่สอดคล้องกับระบอบการปกครองที่ถูกต้อง ดังนั้น ในระบอบประชาธิปไตยในระบบผู้แทนจึงต้องยึดจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นหลัก

2.การกล่าวอ้างถึงเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญเชื่อมโยงกับระบบเลือกตั้ง (Voting system) ที่ไม่ต้องการให้มีการเทคะแนนเสียงทิ้งน้ำนั้นถือเป็นคนละเรื่องเดียวกัน ในทางกลับกันการที่พรรคพลังประชารัฐใช้เหตุผลของการนำเอาทุกคะแนนเสียงที่เลือกพรรคตนเพื่อสร้างความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาล โดยหาได้ให้ความสำคัญกับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น กลับชี้ให้เห็นถึง “ข้อบกพร่องของระบบการจัดสรรปันส่วนผสมเอง” ที่ก่อให้เกิดสภาวะเช่นนี้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง การที่ผลคะแนน Popular vote ไม่สอดคล้องกับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับเป็นเรื่องของระบบเลือกตั้งที่มีการออกแบบและบังคับใช้ที่ไม่ได้ตามเป้าประสงค์ของผู้ออกแบบระบบเลือกตั้ง

3.การให้พรรคที่ได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้งมากที่สุดอันดับ 1 ทำการจัดตั้งรัฐบาลก่อน ตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญแล้วแม้จะมิได้มีการบัญญัติไว้อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ถือเป็น “ธรรมเนียมปฏิบัติทางรัฐธรรมนูญ” หรือ “Constitutional convention” ซึ่งอาจเรียกเป็นภาษาพูดว่า “มรรยาททางการเมืองสากล” ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่มีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษรแบบประเทศสหรัฐอเมริกาก็ดี ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย หรือประเทศที่ไม่มีรัฐธรรมนูญที่เป็นลายลักษณ์อักษรแบบประเทศอังกฤษก็ดี ก็ปฏิบัติกันมาเช่นนี้ ดังนั้น การที่จะฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามธรรมเนียมทางการเมืองข้างต้นจึงเป็นการสร้างบรรทัดฐานทางการเมืองที่ไม่เหมาะสมยิ่ง

พรรคการเมืองต่างๆพึงต้องเข้าใจต่อหลักการที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญและการเมืองข้างต้นนี้ด้วย

“พิชัย” แนะ ปชป. หนุนเพื่อไทย

นายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ “มติชนออนไลน์” ถึงการเลือกตั้งที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส. น้อยผิดคาดว่า เสียดาย สลดใจ และเสียใจที่ผลออกมาเช่นนี้ แต่ก็ให้ประชาธิปัตย์ยืนหยัดหลักการต่อต้านเผด็จการและเร่งแก้ไขให้พรรคมีเอกภาพ เชื่อว่าประชาชนยังรักประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ

นายพิชัยยังแนะให้พรรคประชาธิปัตย์สนับสนุนพรรคเพื่อไทยที่ได้ ส.ส. มากที่สุดในการจัดตั้งรัฐบาล ยึดหลักประชาธิปไตย ยึดอุดมการณ์ของพรรค ซึ่งประชาธิปัตย์ปฏิเสธไม่ได้

เพื่อไทยไม่ปิดประตู “เสี่ยหนู”

นายภูมิธรรมยืนยันว่า การร่วมกับพรรคฝ่ายประชาธิปไตยประกาศจัดตั้งรัฐบาลเพื่อแสดงเจตจำนงความถูกต้องชอบธรรมและไม่เอาเผด็จการ จึงยังไม่พูดถึงว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งสอดคล้องกับนายธนาธรที่ประกาศชัดเจนว่าพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ครั้งนี้จะไม่เสนอชื่อนายธนาธร เพราะถือว่านายกรัฐมนตรีต้องมาจากพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งเป็นลำดับ 1 คือพรรคเพื่อไทย ซึ่งนายธนาธรยืนยันว่า “น้ำหนักในการตัดสินใจเรื่องต่างๆของพวกเราก็คือ การหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจ คสช.” พรรคอนาคตใหม่จะไม่สร้างเงื่อนไขในการนำพาประเทศไปสู่ทางตัน

ปัญหาคือคุณหญิงสุดารัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ไม่ได้เป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ขณะที่พรรคเพื่อไทยก็ไม่ยืนยันว่าจะต้องเป็นนายกรัฐมนตรี จึงไม่ปิดประตู “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย

การเมืองเป็นเรื่องหน้าด้าน

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ได้โพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัวถึงประเด็นร้อนนี้ว่า วันนี้ไปไหนมีแต่ชาวบ้านถาม “ชูวิทย์ใครจะเป็นรัฐบาล?” เรื่องแบบนี้ที่บอกว่ามี “กติกามารยาท” พรรคใดได้ ส.ส. มากเป็นอันดับหนึ่งแล้วจะได้สิทธิจัดตั้งรัฐบาลก่อน แต่ “การเมืองเป็นเรื่องหน้าด้าน” ต้องชิงไหวชิงพริบ วิ่งเจรจาต่อรองจนเป็นที่พึงพอใจของทุกพรรค คนทำหน้าที่สำคัญนี้เขาเรียกว่า “ผู้จัดการรัฐบาล” เมื่อสะเด็ดน้ำจึงออกมาร่วมกันจับมือชูหราว่าจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จแล้ว

พักหลังๆแบ่งเป็นสองฝั่งสองพรรคหลักชัดเจน แต่ถึงกระนั้นยังดึงดันต่อรอง เปลี่ยนขั้ว มาร่วมตั้งรัฐบาลกันได้อยู่ดี ที่ย้ายฝั่งกันชัดๆเป็นที่ฮือฮาคือ นายเนวิน ชิดชอบ ที่ว่าชาตินี้จะไม่เผาผีกับพรรคประชาธิปัตย์ ยังดันมามอบดอกไม้กอดกันได้หน้าตาเฉย ที่สำคัญหยิบชิ้นปลามัน ได้กระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงคมนาคมไป ก่อนเอ่ยวจีบอกทักษิณว่า “มันจบไปแล้วครับนาย”

กติกามารยาทจึงใช้ไม่ค่อยได้ในการจัดตั้งรัฐบาล..ตอนนี้มีพรรคที่รีๆรอๆยัง “กั๊ก” อยู่ โดยอ้างว่า “ต้องรอการตัดสินใจจากกรรมการบริหารพรรค” “ต้องรอผลอย่างเป็นทางการจาก กกต. เสียก่อน” ไม่กล้าผลีผลามตัดสินใจ ชะเง้อหน้าชะงักหลัง เพราะเขาแบ่งขั้วเป็นฝั่ง “ประชาธิปไตย” กับ “เผด็จการ” แต่อย่าได้เบาใจ ตอนนี้ไอโฟนแทบไหม้คาหู หากได้สมใจ ถึงพระเดชพระคุณ ค่อยมาหาข้ออ้างแก้ตัวกับประชาชนให้ดูดี

ที่คุณหญิงสุดารัตน์บอกว่า “เข้าเส้นชัยเป็นอันดับสอง แต่ขอรับเหรียญทองบนแท่นอันดับหนึ่ง” #แบบนี้ก็ได้เหรอคะ ผมต้องขอบอกคุณหญิงว่า “ทำกันแบบนี้มานานแล้วล่ะครับ ขนาดไม่ได้แข่งขันอะไรกับเขา ยังเดิน แอ่น แอ๊น ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งหน้าตาเฉย แถมอยู่นานกว่ากติกา แล้วจะขอต่อเวลาเสียด้วยซ้ำ”..#แบบนี้ก็ได้เหมือนกันนะครับ

“ประยุทธ์” ไม่ตอบคำถามการเมือง

ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ได้กล่าวทักทายผู้สื่อข่าวภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม ครม. (26 มีนาคม) อย่างอารมณ์ดี แต่ไม่ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ส่งคำถามให้ ทั้งชี้แจงว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดตั้งรัฐบาล ทั้งหมดเป็นเรื่องของฝ่ายการเมืองและขออย่าถามอีก ในฐานะนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. จะตั้งใจปฏิบัติหน้าที่จนมีรัฐบาลใหม่ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ให้เคารพเสียงประชาชน อย่าทะเลาะเบาะแว้งกันอีก อย่าให้ความสนใจกันมากกับฝ่ายการเมืองที่ดำเนินการ

สำหรับคำถามที่สื่อมวลชนถาม พล.อ.ประยุทธ์ อาทิ หลายพรรคการเมืองมองว่า “นายกรัฐมนตรีคนใหม่” จะสง่างามถ้า ส.ว. 250 คนงดออกเสียง และให้ ส.ส. ในสภา 500 คนเลือกกันเองก่อน เห็นด้วยหรือไม่ นายกฯมีความเห็นอย่างไรต่อกรณีการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งสังคมมีข้อกังขาว่าการจัดตั้งรัฐบาลควรยึดจากจำนวนตัวเลข ส.ส. ที่ได้หรือจำนวนคะแนนป๊อปปูล่าโหวต ส่วนตัวนายกฯพอใจกับจำนวนตัวเลข ส.ส. ที่ พปชร. ได้หรือไม่ หลังจากที่ไปช่วยปราศรัยในเวทีสุดท้ายที่สนามเทพหัสดิน ประเมินการจัดการเลือกตั้งครั้งนี้ของ กกต. อย่างไร สอบผ่านหรือไม่ เพราะมีคำร้องเรียนจำนวนมาก และกรณีอดีตนายกฯทักษิณระบุว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมามีการทุจริต ฯลฯ

ทำไมอยากเป็นนายกรัฐมนตรีนัก?

ก่อนการเลือกตั้ง “ลุงตู่” ถามว่า “ไม่เข้าใจทำไมเมืองไทยทำไมจึงอยากเป็นนายกฯกันนักหนา?” แต่สถานการณ์หลังการเลือกตั้งกลับมีการแย่งชิงจัดตั้งรัฐบาลและตำแหน่งนายกรัฐมนตรี “ลุงตู่” ไม่ใช่ทำเป็นไม่รับรู้ ไม่สนใจ แต่น่าจะถามตัวเองมากกว่าว่า “ทำไมอยากเป็นนายกรัฐมนตรีนัก?”

โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐที่ได้ ส.ส. เป็นอันดับ 2 แต่กลับพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาลและให้ “ลุงตู่” เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ ทั้งที่รัฐธรรมนูญและกติกาการเลือกตั้งออกแบบมาเพื่อการสืบทอดอำนาจและบอนไซพรรคการเมือง แต่พรรคพลังประชารัฐก็ได้ ส.ส. เป็นอันดับ 2 จึงถูกตั้งคำถามว่าต้องการสร้างประชาธิปไตยให้มั่นคงหรือสร้างความขัดแย้งภายใต้รัฐบาลผสมที่ขาดทั้งเอกภาพและเสถียรภาพ

การเมืองจึงกลายเป็นเกมแห่งอำนาจเพื่อตำแหน่งและผลประโยชน์ทางการเมืองโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศ ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวม ไม่คำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรม

วาทกรรมคนดีที่ “ลุงตู่” พูดมาตลอดเกือบ 5 ปี ด่าพรรคการเมือง ด่านักการเมืองเลวสารพัด จึงเหมือนถ่มน้ำลายรดฟ้า เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง ไม่สนใจความสง่างามทางการเมือง มารยาทและวัฒนธรรมทางการเมือง

กัญชาธิปไตย …Are You High?

จากผลการเลือกตั้งที่นับมาหลายวันแต่ก็ย่ำอยู่ที่ 95% ไม่ถึง 100% เสียที จึงส่อให้เห็นการแสดงออกแปลกๆของบรรดาผู้ครองอำนาจในปัจจุบันและองค์กรอิสระที่ชื่อว่า “กกต.” ที่ถูกเหน็บแนมว่ากำลังเป็น “คณะกรรมการตกแต่ง” หรือไม่? จนมีการระดมรายชื่อเพื่อยื่นถอดถอน กกต. กว่า 8 แสนรายชื่อในเวลาเพียงไม่กี่วัน

และแล้ว… เมื่อ กกต. หาเครื่องคิดเลขเจอแล้ว จึงได้ออกมาประกาศเมื่อบ่ายวันที่ 28 มีนาคม 2562 ว่านับคะแนนครบแล้ว 100% ผลสรุปคือ

อันดับ 1 พรรคพลังประชารัฐ 8,433,137 คะแนน

อันดับ 2 พรรคเพื่อไทย 7,920,630 คะแนน

อันดับ 3 พรรคอนาคตใหม่ 6,265,950 คะแนน

อันดับ 4 พรรคประชาธิปัตย์ 3,947,726 คะแนน

อันดับ 5 พรรคภูมิใจไทย 3,732,883 คะแนน

นับเป็นการประกาศที่แปลกประหลาดเพื่อยืนยันถึงคะแนนความนิยมของพรรคอันดับ 1 หรือป๊อปปูล่าโหวตว่าคือพรรคพลังประชารัฐ และมีการปรับตัวเลขผู้มาใช้สิทธิจาก 65.96% เป็น 74.69%

ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 51,239,638 คน ผู้มาใช้สิทธิ 74.69% (38,268,375 คน) บัตรเสีย 5.57% (2,130,327 คน) Vote No 1.58% (605,392 คน) สอดคล้องกับคะแนนที่เพิ่มขึ้นมาในบัดดล

ส่วนพรรคไหนจะได้ ส.ส. จากการแบ่งเขตและจากปาร์ตี้ลิสต์ จะได้กี่ที่นั่งจริงๆ ก็ต้องรอการพิจารณาการร้องเรียนให้จบสิ้นเสียก่อน ซึ่งหมายความว่าต้องรอว่าพรรคใดจะโชคดีได้รับ “ใบแดง ใบส้ม ใบเหลือง” และนั่นก็หมายความว่าขณะนี้ทุกพรรคมีโอกาสได้เก้าอี้เพิ่มหรือลด และจะรู้ชัดทุกอย่างวันที่ 9 พฤษภาคม 2562 การจับขั้วการเมืองจึงไม่อาจใช้ตัวเลขที่ออกมาทางสื่อก่อนหน้านี้ได้

ความมึนเมาและมึนงงจึงปกคลุมไปทั่วหล้า… ฝันอยากได้ระบอบ “ประชาธิปไตย” แต่กลับได้ “กัญชาธิปไตย” … Are you high? Thailand!!??


You must be logged in to post a comment Login