วันพฤหัสที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2567

บูรณาการเลิกทาสด้วยศาสนา

On January 16, 2019

คอลัมน์ สันติธรรม

โดย บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้วันสุข  18-25 มกราคม 2562)

ทาสเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้มานานหลายพันปี อารยธรรมที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ทุกแห่งล้วนมาจากแรงงานทาสทั้งสิ้น เพราะในอดีตโลกไม่มีเทคโนโลยี มนุษย์จึงต้องใช้แรงงานทาสในการสร้างอารยธรรม ทาสจึงเป็นเหมือนเครื่องมือที่ซื้อขายกันในตลาด

เมื่อโลกเจริญขึ้น การซื้อขายและการใช้แรงงานทาสกลายเป็นสิ่งน่ารังเกียจ ประเทศที่เจริญแล้วจึงคิดที่จะเลิกทาส แต่การเลิกทาสมิใช่เรื่องง่าย เพราะมันเป็นการทำลายผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มที่จำเป็นต้องใช้แรงงานทาส ดังนั้น กว่าสหรัฐอเมริกาจะเลิกทาสได้ ผู้คนต้องสังเวยชีวิตไปเป็นจำนวนมากในสงครามระหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้

Arabslavers

สังคมอาหรับก่อนสมัยอิสลามก็ไม่ต่างจากสังคมส่วนอื่นของโลก ทาสทั้งหญิงชายเป็นสินค้ามีชีวิตที่ถูกนำมาซื้อขายในตลาด ดังนั้น ทาสจึงเป็นมรดกตกทอดสู่ทายาทของนายทาส

ก่อนเป็นศาสนทูตทำหน้าที่ประกาศศาสนาอิสลาม มุฮัมมัดซึ่งอยู่ในวัย 25 ปี ได้แต่งงานกับเศรษฐินีผู้มั่งคั่งคนหนึ่งซึ่งมีอายุมากกว่าเขา 15 ปี ในวันแต่งงานเขาได้รับของขวัญจากภรรยาเป็นทาสหนุ่มคนหนึ่งชื่อ เซด บินฮาริซะฮ์

เมื่อได้รับของขวัญมีชีวิตชิ้นนั้นมา เขาได้ปลดปล่อยทาสคนนั้นให้เป็นอิสระทันที ไม่เพียงเท่านั้นเขายังจูงมือทาสที่เขาปลดปล่อยไปยังที่สาธารณะและประกาศให้ทุกคนได้รู้ว่าต่อไปนี้ เซด บินฮาริซะฮ์ เป็นบุตรบุญธรรมของเขาด้วย

ก่อนหน้าสมัยอิสลามประเพณีอาหรับถือว่าบุตรบุญธรรมมีสิทธิ์รับมรดกไม่ต่างไปจากบุตรในสายเลือดของพ่อบุญธรรม

เมื่อนบีมุฮัมมัดได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสนทูตทำหน้าที่เผยแผ่หลักธรรมคำสอนอิสลามในวัย 40 ปี หลักคำสอนเรื่องความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวและความเท่าเทียมกันของมนุษย์ในสายตาของพระเจ้าทำให้ทาสหลายคนเลื่อมใสศรัทธาในคำสอนของท่าน ทาสบางคนหันมาศรัทธาในพระเจ้า แต่เมื่อนายทาสรู้ทาสผู้นั้นต้องถูกทรมานจนกว่าจะละทิ้งคำสอนของนบีมุฮัมมัด เพราะใครตกเป็นทาสในยุคนั้นต้องเป็นทาสทั้งทางร่างกายและวิญญาณ

การปลดปล่อยคนที่ตกเป็นทาสให้เป็นอิสระ โดยเฉพาะทาสที่ต้องการจะเปลี่ยนสถานะจากทาสมนุษย์มาเป็นบ่าวของพระเจ้า จึงเป็นภารกิจเบื้องแรกในการเผยแผ่อิสลาม แต่การปลดปล่อยทาสต้องใช้เงิน โชคดีที่นบีมุฮัมมัดมีภรรยาฐานะดี และมีเพื่อนสนิทเป็นพ่อค้าที่สนับสนุนภารกิจของท่าน ทาสหลายคนจึงได้รับการไถ่ตัวและปลดปล่อยให้เป็นอิสระ และทาสที่ได้รับการปลดปล่อยเหล่านี้เองที่ต่อมาได้กลายเป็นผู้คอยติดตามช่วยเหลือภารกิจของนบีมุฮัมมัด

เมื่อนบีมุฮัมมัดอพยพมายังมะดีนะฮฺ พระเจ้าได้ให้วิธีการแก่นบีมุฮัมมัดในการปลดปล่อยทาสผ่านกระบวนการทางศาสนาที่ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อหลากหลายวิธี อาทิ ผู้ชายที่ปากพล่อยพูดว่าภรรยาของตนเป็นเหมือนแม่ ซึ่งทำให้ตนเองไม่สามารถกลับไปมีความสัมพันธ์ได้อีกแล้วตามประเพณีอาหรับ หากจะกลับไปมีความสัมพันธ์กับภรรยาของตัวเองต้องถูกลงโทษด้วยการปล่อยทาสหนึ่งคน หรือถือศีลอดต่อเนื่องกันทุกวันเป็นเวลา 2 เดือน หรือเลี้ยงอาหารคนยากจน 60 คน อย่างหนึ่งอย่างใด

คนที่สาบานไว้กับพระเจ้าและผิดคำสาบานมีโทษต้องชดใช้ด้วยการเลือกเอาว่าจะเลี้ยงอาหารคนยากจน 10 คน หรือถือศีลอด 3 วัน หรือปล่อยทาส 1 คน

คนที่ทำให้มุสลิมเสียชีวิตโดยไม่เจตนา หรือฆ่าพันธมิตรที่มิได้เป็นมุสลิม ต้องไถ่บาปด้วยการปลดปล่อยทาสคนหนึ่งให้เป็นอิสระ

ในสงครามป้องกันการรุกรานจากเมืองมักก๊ะฮฺครั้งแรก ฝ่ายมุสลิมได้รับชัยชนะและจับเชลยได้หลายสิบคน ตามประเพณีชะตากรรมของเชลยศึกคือถูกประหารหรือไม่ก็ตกเป็นทาส แต่นบีมุฮัมมัดได้สั่งว่าเชลยคนใดที่สามารถสอนเด็ก 10 คนให้อ่านหนังสือออกจะได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ

นอกจากนี้แล้วซะกาตหรือภาษีศาสนาที่มุสลิมทุกคนต้องจ่ายทุกปีแก่ผู้มีสิทธิ์ได้รับ 8 ประเภทนั้น สามารถนำไปใช้ในการปลดปล่อยทาสให้เป็นอิสระด้วย

เมื่อนบีมุฮัมมัดสถาปนารัฐอิสลามในเมืองมะดีนะฮฺโดยมีคัมภีร์กุรอานเป็นธรรมนูญปกครอง ทาสที่เคยมีอยู่ในคาบสมุทรอาหรับมาเป็นเวลาหลายร้อยปีได้หมดไปภายในเวลา 23 ปี

 


You must be logged in to post a comment Login