วันพฤหัสที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

กระซวก‘วิรไท’ด้วยรัก / โดย ดร.โสภณ พรโชคชัย

On January 26, 2017

คอลัมน์ : โลกอสังหาฯ
ผู้เขียน : ดร.โสภณ พรโชคชัย

เห็น ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แสดงปาฐกถาไม่เข้าทีจึงขอกระซวกด้วยรักด้วยความหวังดีต่อชาติ โดยเป็นปาฐกถาหัวข้อ “เศรษฐกิจการเงินไทยท่ามกลางความท้าทายในยุค 4.0” เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2560

ผมเห็นว่าสิ่งที่ท่านพูดมีหลายส่วนที่อาจไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงจึงขอ “มองต่างมุม” เพื่อท่านและทีมงานจะได้พิจารณาเผื่อเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนพัฒนาชาติ ที่บอกว่า megatrend ด้านที่ 3 การเกิดขึ้นของเมืองใหม่ (urbanization) จะมีผลข้างเคียงหลายมิติ เช่นชุมชนแออัด ข้อนี้ท่านอาจไม่ทราบว่าในยุคสมัยใหม่ เมืองใหม่มีโอกาสเกิดชุมชนแออัดน้อยลง เพราะราคาที่ดินแพง สามารถใช้พัฒนาเชิงพาณิชย์ได้ เจ้าของที่ดินคงไม่ปล่อยให้บุกรุกเช่นแต่ก่อน เว้นแต่ที่ดินของหน่วยราชการที่ “เอาหูไปนาเอาตาไปไร่”

ท่านบอกว่าศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ลดต่ำลง อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปรับลดลงอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเหลือเพียงร้อยละ 3 ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ข้อนี้ท่านละไว้ไม่กล่าวถึงว่ารัฐประหาร 2557 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยบอกว่า “หากมีการปฏิวัติเกิดขึ้นอีกจะเป็นการแก้ปัญหาผิดทาง เพราะจะทำให้ปัญหาอื่นๆเกิดขึ้นตามมาอีก และไม่รู้ว่าสังคมไทยจะยืนอยู่บนสังคมโลกได้อย่างไร” (http://bit.ly/2jmloOn)

ท่านบอกว่าคนเพียงร้อยละ 10 ของประเทศถือครองที่ดินมากกว่าร้อยละ 60 ถ้ายึดถือตามคำพูดเช่นนี้จริงก็ต้องเอ่ยถึงการแก้ไขภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างและภาษีมรดก เพราะที่ (คาดว่า) ออกมาไม่ได้แก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำนี้เลย ยังปล่อยไว้และไม่ได้รับการแก้ไข ผมอยากให้ท่านอ่านหนังสือของผมเรื่อง “ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างช่วยพัฒนาท้องถิ่น พัฒนาประชาธิปไตย พัฒนาชาติ” (Download ฟรีที่ http://bit.ly/1fTo7vP)

ท่านบอกว่าสัดส่วนประชากรในเมืองของประเทศไทยอยู่ระดับประมาณร้อยละ 50 เพราะการพัฒนาเมืองกระจุกตัวอยู่รอบกรุงเทพฯ ไม่ได้กระจายไปอย่างทั่วถึง ข้อนี้ท่านไม่ทราบว่า กทม. และปริมณฑลมีจำนวนประชากรเพียง 11 ล้านคน ขณะที่เมืองภูมิภาคอื่นๆรวมกันมีประชากรถึง 22 ล้านคน (http://bit.ly/2gKl52e)

ท่านบอกว่าปัจจุบันประเทศไทยมีกฎหมายและกฎระเบียบรวมกันประมาณ 100,000 ฉบับ มีใบอนุญาตกว่า 1,500 ใบ ซึ่งสูงมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศ OECD ข้อนี้ท่านไม่ทราบว่านักวิชาชีพด้านประเมินค่าทรัพย์สิน บริหารทรัพย์สิน บริหารการขาย ฯลฯ ยังไม่มีใบอนุญาต ซึ่งจำเป็นต้องพัฒนาวิชาชีพและดูแลผลประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภค

ท่านบอกว่าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปสู่ยุค 4.0 ต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง การกระจายโอกาส การมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม ข้อนี้เป็นคำพูดสวยหรู แต่ความเป็นจริงรัฐไม่ได้ฟังเสียงประชาชน เช่น การทำผังเมืองจัดประชุมให้ประชาชนมาแสดงความเห็น แต่ไม่เคยแก้ไขตามที่ประชาชนเสนอและไม่ได้แสดงเหตุผลด้วย

ท่านบอกว่าต้องปรับกลไกการทำงานของภาครัฐให้โปร่งใสและเปิดกว้าง (open government) เพื่อให้เกิดการตรวจสอบจากภาคประชาชนและผู้เกี่ยวข้อง ข้อนี้ท่านคงไม่ได้ดูจากสถานการณ์ในปัจจุบันที่อ้างว่าเป็นยุคโปร่งใส แต่การตรวจสอบต่างๆทำไม่ได้ มีข้อครหาทุจริตแต่ไม่สามารถสาวต่อได้ แม้แต่การคัดเลือกผู้บริหารองค์กรอิสระถ้าโปร่งใสจริงก็อาจไม่ได้ผู้บริหารที่มารับตำแหน่งเช่นทุกวันนี้

ท่านบอกว่าการทำงานร่วมกับผู้อื่น การยอมรับความแตกต่าง ข้อนี้ท่านควรบอกว่าเราต้องยึดถือเสียงส่วนใหญ่เป็นหลัก ถ้าไม่เคารพเสียงส่วนใหญ่ เราจะบริหารบ้านเมืองไปทางไหน เช่น ไม่เคารพว่าประชาชนชาวภูกระดึง 97% ต้องการกระเช้าไฟฟ้า ประชาชนนครสวรรค์ 79% ต้องการเขื่อนแม่วงก์ ประชาชน 78% รอบเหมืองพิจิตรต้องการให้เหมืองอยู่ต่อ

ท่านบอกว่าเราต้องตระหนักว่าเป็นหนึ่งในเจ้าของประเทศ เรามีหน้าที่ในการเป็นพลเมืองและพร้อมเข้าแก้ปัญหาตามศักยภาพและทุกโอกาสที่มี ข้อนี้ถ้ารัฐตระหนักจริงคงไม่ร่างรัฐธรรมนูญที่ประชาชนไม่มีสิทธิเลือกนายกฯ ไม่มีสิทธิเลือกองค์กรอิสระ มี “พนักงานเทกระโถน” โดยได้รับลาภยศสักการะทั้งที่ไม่ผ่านความเห็นชอบจากประชาชนอีกมากมาย คนส่วนใหญ่ถูกเอาเปรียบและทิ้งให้อยู่เบื้องหลังแบบนี้จะไปขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างไร

ท่านบอกว่าคนไทยโชคดีที่บรรพบุรุษปลูกฝังให้มีคุณธรรมดีเป็นพื้นฐาน เป็นมรดกของแผ่นดินที่ต้องรักษาไว้ด้วยความหวงแหนและพัฒนาให้มากขึ้นต่อเนื่อง ข้อนี้ท่านพูด Over ไปไหม มีบรรพบุรุษชาติไหนที่ไม่ปลูกฝังให้มีคุณธรรมบ้าง

ท่านพูดเรื่อง “ประเทศไทย 4.0” บ่อยมากในปาฐกถาครั้งนี้ แต่พื้นฐานความคิด ที่มา และแนวทางการดำเนินการสอดคล้องกับความเป็นจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่วาทกรรม (พูดส่งเดช) ที่แหกตาประชาชน การแบ่งยุคต่างๆก็น่าจะแบ่งผิดแล้ว แถมยังมี “ความคิดนรก” มุ่งส่งเสริมให้ “ทำน้อย ได้มาก” (http://bit.ly/2gNFjUV)

ผมไม่รู้จัก ดร.วิรไทเป็นการส่วนตัว แต่เมื่อท่านมา “ช่วยชาติ” ก็ต้องช่วยท่านหน่อย แม้สิ่งที่ช่วยจะไม่ใช่ยาหอม แต่เป็นยาขม ไม่ใช่ลม เข้าทำนอง “หวานเป็นลม ขมเป็นยา”


You must be logged in to post a comment Login