- ตั้งสติให้ดี “โลกนี้ มีเกิด มีตาย”Posted 8 months ago
- อย่าหาเรื่องอยู่ร้อน นอนทุกข์Posted 8 months ago
- โลกธรรมPosted 8 months ago
- อนุโมทนา คนพิการสู้ชีวิตPosted 8 months ago
- สลายความเกลียดชังPosted 8 months ago
- สู้ดีกว่าลาโลกPosted 8 months ago
- ใช้คาถาพระพยอมบ้างPosted 8 months ago
- เสียงชื่นชมดีกว่าเขาด่าPosted 8 months ago
- ต้องใช้ยาแรงกับคนขายชาติPosted 8 months ago
- บทเรียนผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวPosted 8 months ago
เว็บไซต์ผิด กม.ในไทยพุ่งกระฉูด 4 แสนลิงก์ ย้ำ!คนไทยต้องรู้เท่าทันสื่อออนไลน์

DE เผยปี 68 เว็บไซต์ผิด กม.ในไทยพุ่งกระฉูด 4 แสนลิงก์ เว็บไซต์พนันออนไลน์โตขึ้น 4 เท่า ด้าน สสส.จับมือ DE ผลักดันมาตรการคุ้มครองผู้ใช้สื่อออนไลน์-พัฒนาระบบเฝ้าระวังภัยข้อมูลสุขภาพ ร่วมสร้างพลเมืองรู้เท่าทันสื่อออนไลน์ และผลักดันให้เกิดนโยบายและมาตรการคุ้มครองผู้ใช้สื่อออนไลน์
ที่อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ กรุงเทพฯ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(DE) จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการบูรณาการความร่วมมือในการเฝ้าระวังสื่อดิจิทัล เพื่อผลักดันนโยบายและมาตรการคุ้มครองผู้ใช้สื่อออนไลน์ พร้อมสร้างกลไกการสื่อสารที่เข้มแข็ง เพื่อยกระดับการรู้เท่าทันสื่อของประชาชน

นางสาวชมภารี ชมภูรัตน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า ปัญหาการเผยแพร่เนื้อหาที่เข้าข่ายผิดกฎหมายบนสื่อดิจิทัลมีแนวโน้มทวีความรุนแรงและซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับการพนัน บุหรี่ไฟฟ้า และโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาวะของเด็ก เยาวชน และประชาชน จากการสำรวจข้อมูลเว็บไซต์ที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย ระหว่างวันที่ 1 ต.ค. 2566-30 ก.ย. 2568 โดยกระทรวงดิจิทัลฯ พบว่า ในไทยมีเว็บไซต์ที่เข้าข่ายผิดกฎหมายด้านการพนันและสินค้าต้องห้ามเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จาก 70,000 เว็บไซต์ ในปี 2567 เป็น 400,000 เว็บไซต์ ในปี 2568 ที่น่าสนใจ พบว่า เว็บไซต์การพนันมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า จาก 62,213 เว็บไซต์ ในปี 2567 เป็น 307,538 ในปี 2568 ขณะเดียวกันเว็บไซต์ด้านเนื้อหาเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าและโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีแนวโน้มแพร่กระจายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วผ่านช่องทางสื่อออนไลน์
“กระทรวงดิจิทัลฯ มีภารกิจสำคัญในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และระงับการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่เหมาะสมหรือผิดกฎหมายบนสื่อดิจิทัล ตลอดจนเสริมสร้างความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ การลงนามความร่วมมือกับ สสส. ครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นสานพลังเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน เพื่อร่วมกันเฝ้าระวัง ป้องกัน และลดความเสี่ยงจากภัยออนไลน์ มีแนวทางการทำงานร่วมกัน 4 ด้าน 1.ผลักดันมาตรการและกลไกเชิงนโยบายในการสร้างความปลอดภัยและคุ้มครองผู้ใช้สื่อออนไลน์ 2.สร้างความร่วมมือทางวิชาการและพัฒนางานสำรวจวิจัยทางสุขภาพและสังคม 3.พัฒนาระบบเฝ้าระวังภัยออนไลน์ที่ส่งผลต่อสุขภาพ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ผิดกฎหมาย 4.สร้างค่านิยมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่ปลอดภัย” นางสาวชมภารี กล่าว

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า ในยุคดิจิทัลความสุขและสุขภาพไม่ได้เกิดขึ้นเพียงกับตัวบุคคลแต่ขึ้นอยู่กับการสื่อสารทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ การสื่อสารทางบวกเป็นการทำงานร่วมกันกับ DE ที่จะมีการสำรวจข้อมูลทางสถิติร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติในการที่จะนำข้อมูลที่ตรงเวลา ตรงเป้า ตรงบุคคลเพื่อจะสื่อสารกับสังคมเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและมีสุขภาวะที่ดี
ส่วนการสื่อสารเชิงลบจะมีทั้งการพนันออนไลน์ การขายสินค้าที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ผิดกฎหมาย เช่น บุหรี่ไฟฟ้า สิ่งต่างๆเหล่านี้ ภาคีเครือข่ายของ สสส.จำเป็นต้องอาศัยกระทรวง DE ในการทำงานร่วมกันส่งต่อข้อมูลหรือการบอกต่อเพื่อให้ไปปิดกั้นเว็บไซต์ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อมีการปิดเขาจะเปิดทันทีเป็นวัฏจักร เพราะฉะนั้นการจับมือร่วมกันในครั้งนี้จะทำให้มีการทำงานร่วมกันในระยะยาว ต่อเนื่อง และส่วนสำคัญคือ สสส. พยายามที่จะสร้างพลเมืองตื่นรู้ภัยออนไลน์ ซึ่งตรงนี้สามารถเชื่อมโยงกับกระทรวง DE ที่มีอาสาสมัครดิจิทัลอยู่แล้วเป็นการทำงานร่วมกันให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวัง ทั้งเข้าไปดู และเด็ก เยาวชน ที่อาจเข้าไปในการสื่อสารที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ตรงนี้จะเป็นจุดสำคัญที่จะทำให้สุขภาวะของคนไทยดีขึ้น
ทั้งนี้ สสส. มุ่งขับเคลื่อนงานด้านการส่งเสริมและป้องกันปัจจัยเสี่ยงที่กระทบต่อสุขภาวะของประชาชน โดยเฉพาะจากสื่อและพฤติกรรมการใช้งานดิจิทัล ผ่านการสนับสนุนนวัตกรรม องค์ความรู้ และการสร้างค่านิยมการใช้สื่ออย่างสร้างสรรค์ การลงนามความร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลฯ ครั้งนี้ จะเดินหน้าสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัย ผ่านการขับเคลื่อนงานสำคัญ 7 มิติ 1.พัฒนาระบบเฝ้าระวังภัยออนไลน์ ทั้งการแจ้งเบาะแส การส่งต่อข้อมูล รวมถึงการติดตามผล พร้อมจัดตั้งคณะทำงาน “ปิดกั้นเว็บไซต์” ซึ่งระหว่างเดือน มี.ค.-พ.ค. 2568 ได้ดำเนินการส่งต่อเว็บไซต์การพนันและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าแล้ว 1,314 เว็บไซต์ 2.พัฒนาพลเมืองเฝ้าระวังภัยออนไลน์ ผ่านกลไกอาสาสมัครดิจิทัล โดย สสส. จะสนับสนุนองค์ความรู้และนวัตกรรมในการพัฒนาอาสาสมัคร และขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมของอาสาสมัครดิจิทัลในการสื่อสาร และเฝ้าระวังภัยออนไลน์ที่ส่งผลต่อสุขภาวะ 3.เชื่อมโยงข้อมูลสื่อองค์ความรู้สุขภาวะ ผ่านระบบข้อมูลสารสนเทศสุขภาพ เพื่อสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพเฉพาะบุคคล
“4.ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน ด้วยระบบกลางภาครัฐ (Cloud Computing) เพื่อติดตามพฤติกรรมการสวมหมวกนิรภัยของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ และนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดกฎจราจร 5.ดำเนินการสำรวจสถานการณ์รู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศของคนไทย โดย สสส. จะร่วมออกแบบและกำหนดประเด็นแบบประเมิน เพื่อให้ผลสำรวจสามารถสะท้อนสถานการณ์ได้อย่างรอบด้าน 6.สนับสนุนการป้องกันและรับมือกับข่าวลวง ผ่านการพัฒนาองค์ความรู้และสื่อสารป้องกันการเผยแพร่ข่าวลวงในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ 7.ขับเคลื่อนให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้และการรู้เท่าทันสื่อ ผ่านการจัดทำสื่อรณรงค์ และจัดเวทีสาธารณะ มุ่งสร้างทักษะการใช้สื่ออย่างสุขภาวะดีและสร้างสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน” ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าว

นพ.พงศ์เทพ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการทำงานของ สสส.และ DE แล้ว อยากให้ทุกคนในสังคมไทยต้องกลับมามองแล้วลุกขึ้นมาปกป้องตนเองในการถูกหลอกลวงทรัพย์สินต่างๆ ที่อาจจะมีคอลเซ็นเตอร์เข้ามา แล้วต้องปกป้องลูกหลาน คนกลุ่มเปราะบาง ผู้สูงอายุที่ไม่รู้ว่ามีภัยออนไลน์เข้ามาใกล้ตัวขนาดนี้แล้ว ทุกคนต้องร่วมมือกัน แต่กระทรวง DE และ สสส.จะพยายามหาวิธีการที่จะทำให้คนได้ตื่นรู้มากขึ้น และอาจจะมีขบวนการเฝ้าระวังจัดการที่ต้นตอมากขึ้น ทั้งนี้ทุกคนต้องหันกลับมามองว่า ทุกข์ที่เกิดขึ้นจากภัยออนไลน์กำลังเข้ามาทำลายเศรษฐกิจของประเทศได้ ซึ่งจะมีทั้งการถูกหลอกลวง รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือมีความรู้ด้านสุขภาพที่ผิดๆที่ส่งผลต่อโอกาสในการรักษาสุขภาพที่แย่ลงได้
และในยุคที่ AI เข้ามาจะมีทั้งเรื่องบวกและลบ ในเรื่องบวกในการที่มีข่าวสารส่งเข้ามาในช่องทางต่างๆทุกคนสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ทาง AI ในหลายๆแอพฯเพื่อรีเช็คว่า ข่าวสารที่เข้ามาถูกต้องหรือไม่ ให้พยายามมองไปที่จุดอ้างอิงว่าเขาอ้างอิงอย่างไร ทำให้ท่านสามารถเข้าใจหรือเชื่อถือในข้อมูลที่ส่งเข้ามาได้มากขึ้น
ในเชิงลบ แน่นอนว่าเด็กและเยาวชนอาจเข้าไปใช้ AI จนหลงลืมไปว่าจะต้องมาประชุมกลุ่มหรือทีมที่ต้องมาระดมสมองกัน มีความสัมพันธ์กับผู้คนที่เป็นเรื่องปกติในการเชื่อมความสัมพันธ์กับสังคม ดังนั้นเราต้องรู้ทันถึงพิษภัย และประโยชน์ และใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเองกับครอบครัวและสังคม นพ.พงศ์เทพ กล่าวสรุป
You must be logged in to post a comment Login