- ตั้งสติให้ดี “โลกนี้ มีเกิด มีตาย”Posted 6 months ago
- อย่าหาเรื่องอยู่ร้อน นอนทุกข์Posted 6 months ago
- โลกธรรมPosted 6 months ago
- อนุโมทนา คนพิการสู้ชีวิตPosted 6 months ago
- สลายความเกลียดชังPosted 6 months ago
- สู้ดีกว่าลาโลกPosted 6 months ago
- ใช้คาถาพระพยอมบ้างPosted 6 months ago
- เสียงชื่นชมดีกว่าเขาด่าPosted 6 months ago
- ต้องใช้ยาแรงกับคนขายชาติPosted 6 months ago
- บทเรียนผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวPosted 6 months ago
ทรัมป์แก้ปัญหาคนเร่ร่อนอย่างไรดี

ผู้เขียน : ดร.โสภณ พรโชคชัย
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 26 ส.ค. 68)
เรามาดูว่าประธานาธิบดีทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกาตั้งใจจะแก้ปัญหาคนเร่ร่อนอย่างไร ผมในฐานะอดีตประธานมูลนิธิอิสรชนที่เป็นมูลนิธิที่มุ่งช่วยคนเร่รอน ขออนุญาตถ่ายทอดจากบทความของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ (https://tinyurl.com/3hkurm6j)
บทความขอเดวอน เคิร์ตซ์ดังกล่าวชื่อว่า “Trump Forces D.C. to Get Real About Homelessness. He’s right to treat it as a problem of mental illness and bad behavior, not one of housing and inequality” ซึ่งลงเมื่อ 20 สิงหาคม 2568 ซึ่งแปลว่าทรัมป์บังคับให้กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ตระหนักถึงปัญหาคนไร้บ้านอย่างแท้จริง โดยมองว่าเป็นปัญหาทางจิตและความประพฤติที่ไม่ดี ไม่ใช่ปัญหาที่อยู่อาศัยและความไม่เท่าเทียมกันเช่นแต่กัน
แม้ว่านายกเทศมนตรีกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. จะอ้างว่าเมืองหลวงของสหรัฐฯ มีอัตราการก่ออาชญากรรมรุนแรงต่ำ แต่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ใช้มาตรการพิเศษในเมืองหลวงของประเทศคือการรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของถนนหนทาง สิ่งที่ทรัมป์กระทำนี้ดูผิดไปจากเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลในเมืองต่างๆ ของอเมริกาที่ไม่ได้ดำเนินการด้านนี้มานานแล้ว เพราะ พวกเขาถูกชักจูงโดยนักวิชาการและนักเคลื่อนไหวที่ออกมาต่อต้านการจัดการกับคนเร่ร่อนที่นอนระเกะระกะในเมืองมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
กลยุทธ์ของประธานาธิบดีทรัมป์นั้นตรงไปตรงมาคือ ทุกคนที่อาศัยอยู่นอกบ้านต้องเข้าไปข้างในบ้าน ไม่มีข้อยกเว้น คำสั่งผู้บริหารฉบับล่าสุดของประธานาธิบดี “ยุติอาชญากรรมและความวุ่นวายบนท้องถนนของอเมริกา” ในการนี้รัฐบาลกลางต้องเสียเงินให้กับเมืองและรัฐต่างๆ เพื่อให้กลยุทธ์นี้บรรลุเป้าหมาย และถือเป็นจุดสิ้นสุดแห่งทศวรรษที่อดทนอดกลั้นต่อการนอนข้างถนน เมืองเต็นท์ และการใช้ยาเสพติดในที่สาธารณะ
องค์กรต่างๆ เช่น ศูนย์กฎหมายคนไร้บ้านแห่งชาติ (National Homelessness Law Center) และพันธมิตรแห่งชาติเพื่อยุติการไร้บ้าน (National Alliance to End Homelessness) ต่างวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายที่ต่อต้านค่ายคนเร่ร่อนว่ารุนแรงเกินไปและไร้ประโยชน์ แต่ชาวอเมริกันจำนวนมากกลับเห็นด้วยกับประธานาธิบดีทรัมป์ จากผลสำรวจของสถาบันซิเซโรเมื่อปลายปีที่แล้ว พบว่า ชาวอเมริกัน 72%จากทั้งสองพรรคการเมืองระบุว่าการย้ายคนเร่ร่อนไปยังศูนย์พักพิงนั้นให้ความเห็นอกเห็นใจมากกว่าการอนุญาตให้พวกเขาตั้งแคมป์ที่ไหนก็ได้ตามที่ต้องการ
ผู้สนับสนุนคนเร่ร่อนหลายคนสันนิษฐานว่าภาวะเร่ร่อนส่วนใหญ่เกิดจากการที่ค่าที่อยู่อาศัยแพงเกินไป มากกว่าจะเกิดจากการใช้ยา พฤติกรรมต่อต้านสังคม อาชญากรรม หรือความเจ็บป่วยทางจิต สมมติฐานนี้ทำให้เกิดความเชื่อมั่นที่ผิดๆ ว่าการอยู่บนท้องถนนเป็นทางเลือกที่แม้จะดูน่าเกลียด แต่ดีกว่าการที่สถาบันที่เกี่ยวข้องไปที่จำกัดเสรีภาพพลเมืองของบุคคลที่ยากจน
เจ้าของบทความนี้เห็นว่าสมมติฐานนี้ผิด จากการสำรวจชาวอเมริกันที่เร่ร่อนครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา มีเพียง4% เท่านั้น ที่ระบุว่าค่าที่อยู่อาศัยที่สูงเป็นสาเหตุหลักที่พวกเขากลายเป็นคนเร่ร่อน คนส่วนใหญ่ระบุว่าพวกเขามีปัญหาสุขภาพจิต เคยใช้สารเสพติดผิดกฎหมาย และเคยติดคุกหรือถูกคุมขังเป็นเวลานาน ยาเสพติด โรคทางจิต และอาชญากรรม เป็นสิ่งที่คนอเมริกันส่วนใหญ่พบเจอเมื่อเผชิญกับคนเร่ร่อน ดังนั้นจึงมีความเห็นพ้องต้องกันว่าควรผลักดันคนเร่ร่อนให้เข้ารับการบำบัดและออกจากวิถีชีวิตที่ทำลายล้าง
นโยบายการตั้งแคมป์แบบผ่อนปรนในเมืองให้คนเร่ร่อน ทำให้ยาเสพติดแพร่หลาย และประชากรคนเร่ร่อนในอเมริกาเกือบ 3% เสียชีวิตในแต่ละปี ระหว่างปี 2554-2563 อัตราการเสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาดในกลุ่มคนเร่ร่อนเพิ่มขึ้น 488% และเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 1% ของประชากรคนเร่ร่อนในแต่ละปี การใช้ยาเกินขนาดคิดเป็น 29% ของการเสียชีวิตของคนเร่ร่อนทั้งหมด รองลงมาคือโรคหัวใจและหลอดเลือดที่มักเกี่ยวข้องกับการใช้ยาเสพติดในระยะยาวมี 24% และมีอีก 10% ที่เสียชีวิต โดยการฆ่าตัวตายหรือฆาตกรรม
คนเร่ร่อนมักตกเป็นเหยื่อของคนเร่ร่อนอื่น ข้อมูลจากสำนักงานอัยการเขตซานดิเอโกเปิดเผยว่า คนเร่ร่อนมีแนวโน้มที่จะตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมร้ายแรงมากกว่าชาวอเมริกันทั่วไปประมาณ 10 เท่า และมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้กระทำความผิดมากกว่าหลายร้อยเท่า รายงานล่าสุดของสถาบันซิเซโรพบว่าในมีถึง 8 มลรัฐ ที่ผู้คนที่อาศัยอยู่ตามท้องถนนมากกว่าครึ่งเป็นผู้กระทำความผิดทางเพศที่ลงทะเบียนไว้ โดยเฉลี่ยทั่วประเทศอยู่ที่ 1 ใน 5 เท่านั้น
นักวิจารณ์เรื่องการห้ามตั้งแคมป์มักมองข้ามอันตรายเหล่านี้ รวมถึงภัยธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตกลางแจ้ง ค่ายคนเร่ร่อนแห่งหนึ่งในเมืองออสติน รัฐเท็กซัส ก่อให้เกิด ขยะถึง 655 ตันในเมืองเต็นท์ใต้ดินที่กว้างใหญ่ ผู้ที่มองข้ามความเลวร้ายของการเร่ร่อนมักพูดเกินจริงเกี่ยวกับความเลวร้ายของมาตรการรับมือของสถาบันต่อคนเร่ร่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พักพิงหรือการคุมขัง
จากการตรวจสอบอย่างเป็นระบบเมื่อเร็วๆ นี้โดยกลุ่มนักวิจัยสหวิทยาการ พบว่าไม่มีหลักฐานใดที่บ่งชี้ว่าที่พักพิงในสหรัฐอเมริกามีอัตราการเกิดความรุนแรงสูงกว่าบนท้องถนน เรือนจำมีความปลอดภัยมากกว่าบนท้องถนนมาก โดยมีอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่าหนึ่งในสิบของประชากรเร่ร่อน งานวิจัยด้านอาชญาวิทยาจำนวนมากบ่งชี้ว่าสำหรับชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในย่านที่มีอาชญากรรมสูง เรือนจำช่วยลดอัตราการเสียชีวิตที่ปรับตามอายุได้มากถึง57%เมื่อเทียบกับชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในชุมชนทั่วไป แม้ว่าเรือนจำและคุกอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการรับมือกับคนเร่ร่อน แต่ก็สามารถช่วยชีวิตผู้คนได้อย่างปฏิเสธไม่ได้ นโยบายที่นักเคลื่อนไหวคนเร่ร่อนหลายคนนิยมใช้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจัดหาที่อยู่อาศัยราคาถูกโดยไม่ต้องบำบัดด้านจิตใจใดๆ กลับเพิ่มความรุนแรงขึ้นได้
การใช้ชีวิตบนท้องถนนเป็นเรื่องอันตราย กลยุทธ์ที่เขตปกครองพิเศษโคลัมเบียและเมืองอื่นๆ ในอเมริกาหลายแห่งใช้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ส่งผลให้จำนวนคนเร่ร่อนเพิ่มขึ้น อัตราการเสียชีวิตพุ่งสูงขึ้น และอาชญากรรมและเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายรอบๆ ค่ายคนเร่ร่อนยิ่งเลวร้ายลง การตอบสนองของประธานาธิบดีทรัมป์พิจารณาถึงความเป็นจริงของการเร่ร่อนบนท้องถนนอย่างจริงจัง นี่คือโอกาสที่ดีที่สุดของเมืองและของประเทศในการยุติยุคแห่งความไร้ระเบียบในเมืองนี้
รัฐบาลไทยก็ต้องจัดสวัสดิการที่ดีในด้านที่พักพิงและการแก้ไขปัญหาทางจิต นอกเหนือจากการไล่ให้พวกคนเร่ร่อนไปแอบ ยามที่มีคนใหญ่คนโตผ่านมา
You must be logged in to post a comment Login