- ตั้งสติให้ดี “โลกนี้ มีเกิด มีตาย”Posted 6 months ago
- อย่าหาเรื่องอยู่ร้อน นอนทุกข์Posted 6 months ago
- โลกธรรมPosted 6 months ago
- อนุโมทนา คนพิการสู้ชีวิตPosted 6 months ago
- สลายความเกลียดชังPosted 6 months ago
- สู้ดีกว่าลาโลกPosted 6 months ago
- ใช้คาถาพระพยอมบ้างPosted 6 months ago
- เสียงชื่นชมดีกว่าเขาด่าPosted 6 months ago
- ต้องใช้ยาแรงกับคนขายชาติPosted 6 months ago
- บทเรียนผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวPosted 6 months ago
แม่..หลักฐานแห่งความเมตตาของพระเจ้า

คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 15 ส.ค. 68)
“ผู้ทรงเมตตา” เป็นพระนามหนึ่งของพระเจ้าที่พระองค์ใช้แนะนำพระองค์เอง ความเมตตาเป็นนามธรรมที่ไม่สามารถวาดหรือปั้นออกมาเป็นรูปได้ แต่ถ้าใช้ตาเนื้อมอง ใช้สมองคิด หัวใจจะยอมรับได้ทันทีถึงความเมตตาอันยิ่งใหญ่ที่มีอยู่มากมายสุดคณานับ
หนึ่งในนั้นคือ แม่
นบีมุฮัมมัดกล่าวไว้ว่าพระเจ้าได้ประทานความเมตตาแก่สิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้เพียงหนึ่งในร้อยของความเมตตาที่พระองค์มีอยู่ แค่เพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้แม่ของสัตว์ไม่เหยียบลูกน้อยของมัน
ส่วนความเมตตาอีก 99 ส่วน พระองค์จัดเตรียมไว้ในโลกหน้าสำหรับบ่าวผู้ศรัทธาในพระองค์และกระทำความดี
ความเมตตาของพระเจ้าที่ประทานแก่สัตว์คือสัญชาติญาณที่ทำให้แม่สัตว์รักและหวงแหนลูกของมันถึงขั้นยอมเอาชีวิตตัวเองเข้าแลกเพื่อรักษาชีวิตลูกน้อยของมัน
สำหรับมนุษย์ ความรักของแม่ที่มีต่อลูกเป็นความเมตตาที่พระองค์ประทานแก่มนุษย์อย่างต่อเนื่องรุ่นแล้วรุ่นเล่า ความรักของแม่ที่มีต่อลูกเริ่มตั้งแต่ลูกอยู่ในครรภ์จนกระทั่งคลอดและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ หากยังมีชีวิต ความรักของแม่ที่มาจากความเมตตาของพระเจ้าก็ไม่ลดน้อยลงเพราะมันเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข
เมื่อลูกอยู่ในวัยกำลังคลานหรือเดินเตาะแตะ หากแม่เห็นลูกน้อยของตัวเองคลานหรือเดินไปที่กองไฟหรือไปยังระเบียงที่ไม่มีรั้วกั้น แม่จะรีบไปดึงลูกน้อยของตัวเองออกมาทันที เพราะเด็กน้อยไม่ประสีประสา นั่นคือสัญชาตญาณแห่งความรักของแม่ที่มาจากความเมตตาของพระเจ้า
เมื่อลูกโตขึ้นและรู้ว่าไฟเป็นอันตราย ลูกก็จะไม่เข้าใกล้ แม่ก็ไม่ต้องเตือน
แต่ไฟไม่ใช่สิ่งเดียวที่เป็นอันตรายต่อชีวิต โลกที่เราอาศัยอยู่ยังมีอบายมุขที่นำชีวิตไปสู่ความหายนะในโลกนี้และสูไฟนรกในโลกหน้า ถ้าแม่มีชีวิตอยู่ แม่ก็จะเตือนลูกด้วยความรัก แต่วันหนึ่ง แม่ต้องจากไป ไม่มีใครคอยควบคุมหรือตักเตือนอีกแล้ว ใครเล่าจะคอยควบคุมและตักเตือนลูกที่แม่รัก
แม่จากไป แต่พระเจ้ายังอยู่ ดังนั้น ด้วยความเมตตาอันไม่สิ้นสุดของพระเจ้า พระองค์จึงวางมาตรการควบคุมและปกป้องมนุษย์มิให้เพลี่ยงพล้ำถลำตัวเข้าไปสู่ไฟนรกด้วยการกำหนดให้มุสลิมละหมาดวันละห้าเวลา เพราะวัตถุประสงค์ของการละหมาดถูกกล่าวไว้ชัดเจนในคัมภีร์กุรอานว่า “แท้จริง การละหมาดจะยับยั้งการผิดศีลธรรมและการทำความชั่ว” (กุรอาน 29:45) ดังนั้น คนที่ละหมาดโดยรู้วัตถุประสงค์จึงมักไม่กล้าทำความชั่ว เพราะตัวเองรู้ว่าพระเจ้าเฝ้ามองอยู่ตลอดเวลา
นี่คือเหตุผลที่นบีมุฮัมมัดผู้ถูกส่งมาเป็นความเมตตาสำหรับโลกทั้งผองได้กำหนดให้ผู้ปกครองมุสลิมต้องส่งลูกของตัวเองไปเรียนรู้ศาสนาตั้งแต่อายุ 7 ขวบเพื่อจะได้รู้คำสอนของศาสนาและสามารถปฏิบัติละหมาดได้ ทั้งนี้เพื่อให้เด็กมีภูมิคุ้มกันทางด้านศีลธรรมและจิตวิญญาณตั้งแต่เยาว์วัย
การละหมาดจึงเป็นหนึ่งในความเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์อย่างต่อเนื่อง
You must be logged in to post a comment Login