- ตั้งสติให้ดี “โลกนี้ มีเกิด มีตาย”Posted 5 months ago
- อย่าหาเรื่องอยู่ร้อน นอนทุกข์Posted 5 months ago
- โลกธรรมPosted 5 months ago
- อนุโมทนา คนพิการสู้ชีวิตPosted 5 months ago
- สลายความเกลียดชังPosted 5 months ago
- สู้ดีกว่าลาโลกPosted 6 months ago
- ใช้คาถาพระพยอมบ้างPosted 6 months ago
- เสียงชื่นชมดีกว่าเขาด่าPosted 6 months ago
- ต้องใช้ยาแรงกับคนขายชาติPosted 6 months ago
- บทเรียนผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวPosted 6 months ago
ชวนคนรุ่นใหม่รู้เท่าทันบุหรี่ไฟฟ้า ย้ำ กม.ต้องเอาจริง

เผยงานประชุม วิชาการบุหรี่กับสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 23 ปี จากประเด็นกระชากหน้ากาก “ธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้า” รู้เท่าทันกลยุทธ์ พบบริษัทผู้ผลิตบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าพยายามใช้บุคคลเข้าไปมีส่วนร่วมในการออกมาตรการการควบคุมยาสูบในภาครัฐ ด้าน สสส. เร่งสานพลังทุกส่วน สร้างภูมิคุ้มกันเด็ก จาก “ห้ามใช้” ไปสู่เด็กและเยาวชน “ไม่อยากใช้” ด้วยตนเอง ขณะที่หมอวันชาติ แจงไทยมีกม.ควบคุมยาสูบที่ดี แต่เจ้าหน้าที่รัฐไม่เอาจริงกับการควบคุมยาสูบรวมถึงบุหรี่ไฟฟ้า

ปิดฉากไปแล้วสำหรับงานประชุมวิชาการบุหรี่กับสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 23 ที่โรงแรมแกรนด์ริชมอนด์ ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) ร่วมกับภาคีเครือข่าย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดแถลงข่าว “กระชากหน้ากากธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้า : คนรุ่นใหม่รู้เท่าทันกลยุทธ์” โดย พญ.โอลิเวีย ไนเวรัส ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขอาวุโส องค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า องค์การอนามัยโลกสนับสนุนรัฐบาลไทยในการคงนโยบายการห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งเป็นนโยบายที่อิงหลักฐานเชิงประจักษ์และสอดคล้องกับ WHO FCTC ที่ไทยได้ร่วมลงนามรับรองตั้งแต่ปี 2546 โดยมาตรา 5.3 ของอนุสัญญาฯ เรียกร้องให้ประเทศภาคีปกป้องนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพจากการแทรกแซงของธุรกิจบุหรี่ ดังนั้น องค์การอนามัยโลกขอเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนมีความตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการแทรกแซงของธุรกิจบุหรี่ และดำเนินการตามข้อแนะนำของมาตรา 5.3 อย่างเข้มแข็ง เพื่อป้องกันการแทรกแซงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อสุขภาพและอนาคตของทุกคนในสังคม ทั้งนี้ ธุรกิจบุหรี่พยายามเข้ามาแทรกแซงนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพอย่างต่อเนื่องโดยการคัดค้านการห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าในไทย องค์การอนามัยโลก จึงมีคำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก ปี 2568 ว่า “Unmasking the Appeal” หรือกระชากหน้ากากธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้า
บริษัทผู้ผลิตบุหรี่พยายามแทรกแซงภาครัฐกำหนดทิศทางการควบคุมยาสูบ

ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า การประชุมวิชาการบุหรี่แห่งชาติครั้งที่ 23 เป็นการพูดถึงกลไกในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า ได้มีประเด็นการพูดถึงการควบคุมยาสูบ เช่น ภาษีบุหรี่ การเปลี่ยนช่วยชาวบ้านที่ปลูกยาสูบที่ต้องการจะเลิกปลูกยาสูบ ซึ่งการสำรวจพบว่า 50% ชาวไร่ยาสูบอยากจะเปลี่ยนอาชีพ และมีประเด็นหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเยาวชนที่ควรรับรู้เรื่องอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า ได้มีมีการพูดกันถึงมาตรา 5.3 ที่ควบคุมเรื่องยาสูบขององค์การอนามัยโลก กำหนดให้ประเทศต่างไม่ให้คนที่เกี่ยวข้องกับบริษัทบุหรี่เข้ามาแทรกแซงนโยบาย โดยเฉพาะการเข้าไปเป็นที่ปรึกษา หรือคณะกรรมการใดๆทั้งในระดับสภาผู้แทนราษฎร์ และรัฐบาล หรือระดับกระทรวงไม่ให้ตั้งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทบุหรี่เข้าเป็นที่ปรึกษาหรือกรรมการในการกำหนดนโยบายควบคุมยาสูบ ซึ่งที่ผ่านมามีการตั้งผู้ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทบุหรี่เป็นที่ปรึกษาหรือกรรมการในสภา 3 ชุด ที่ผ่านมาฝ่ายสุขภาพประชาสังคมได้ร้องเรียนไปยังสภาผู้แทนราษฎร เพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาอีกตามที่ปรากฏไว้ในอนุสัญญาควบคุมยาสูบ ซึ่งทางสภาได้ออกข้อกำหนดให้เป็นไปตามข้อกำหนดอนุสัญญาควบคุมยาสูบ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นมาตรการแทรกแซงของบริษัทยาสูบที่เป็นอุปสรรคที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้การควบคุมยาสูบเป็นไปได้ยาก และสุดท้ายได้แจ้งไปยังที่ประชุมว่า ปัญหาของบุหรี่ไฟฟ้าในขณะนี้ พัฒนาไปถึงขั้นมีฝ่ายอาชญากรรมและยาเสพติดร่วมมือกันผสมสารเสพติดเข้าไปในบุหรี่ไฟฟ้าตามรายงานของยูเอ็นเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และได้มีการระบาดที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ ซึ่งตรงนี้เป็นปัญหาที่สำคัญของประเทศโดยเฉพาะในบ้านเราที่การควบคุมของผิดกฎหมายยังมีปัญหาอยู่มาก ซึ่งเราควรมีกฎหมายเข้ามาควบคุมอย่างจริงจัง

ศ.นพ.ประกิต สรุปว่า ประเทศต่างๆ รายงานตรงกันว่า การแทรกแซงนโยบายของบริษัทบุหรี่ เป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดในการปฏิบัติตาม มาตรา 5.3 ของกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO FCTC) จึงกำหนดให้ประเทศภาคี ป้องกันการแทรกแซงนโยบายโดยบริษัทบุหรี่หรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ด้วยการห้ามผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทบุหรี่เข้าร่วมเป็นกรรมการหรือที่ปรึกษา ในคณะกรรมการที่พิจารณาหรือกำหนดนโยบายควบคุมยาสูบ ซึ่งที่ผ่านมามีพรรคการเมืองเสนอให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทบุหรี่ เข้าเป็นกรรมาธิการวิสามัญ และที่ปรึกษากรรมาธิการที่พิจารณานโยบายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น เพราะจะทำให้รายงานของคณะกรรมาธิการฯ ขาดความน่าเชื่อถือ จึงขอให้สภาฯ ได้มีการออกข้อบังคับไม่ให้มีการตั้งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทบุหรี่เข้ามาเป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาในกิจการใดๆ ที่เกี่ยวกับการพิจารณานโยบายควบคุมยาสูบอีกในอนาคต
“มูลนิธิฯ ร่วมกับทุกเครือข่ายรณรงค์ควบคุมยาสูบ ในช่วง 32 ปีที่ผ่านมา สามารถลดอัตราการสูบบุหรี่ได้ 48.8% แต่ยังมีผู้สูบบุหรี่อีก 9.8 ล้านคน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ มูลนิธิฯ จึงได้จัดทำโครงการ โรงเรียนปลอดบุหรี่ เยาวชน Gen Z และอปท.ปลอดบุหรี่ ผลักดันให้ขึ้นภาษีสรรพสามิต ปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ให้มีภาพและคำแนะนำ” ศ.นพ.ประกิต กล่าว
สสส.สานพลังทุกภาคส่วนไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า วันนี้ สสส.สานพลังกับทุกภาคส่วนที่รณรงค์เรื่องบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า และสำคัญในวันนี้จะทำอย่างไรให้เยาวชนรู้เท่าทันและกระชากหน้ากากของบริษัทธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้าทั้งหลาย เพราะบุหรี่ไฟฟ้าไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพเท่านั้น แต่ธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้ายังพยายามทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่เป็นอันตราย หรือเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ในสังคม ข้อมูลจากระบบ OBEC CARE ปี 2567 สำรวจโดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และ สสส. ได้สำรวจเด็กนักเรียนระดับ ป.1-ม.6 รวม 124,606 คน จากโรงเรียน 1,699 แห่ง ใน 30 เขตพื้นที่การศึกษา พบนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นสูบบุหรี่ไฟฟ้ามากกว่าบุหรี่มวน โดยกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดเคยทดลองสูบบุหรี่ไฟฟ้า 24.7% คบเพื่อนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า 22.01% และอาศัยในชุมชนที่มีผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าให้เห็นเป็นประจำ 20.2% สะท้อนว่าพฤติกรรมเสี่ยงไม่ได้เกิดจากตัวเด็กเพียงลำพัง แต่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมทางสังคม และหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

นพ.พงศ์เทพ กล่าวว่าสิ่งที่สำคัญคือภาครัฐบาล ซึ่งตอนนี้ ครม.มีแนวทางที่ชัดเจนว่า บุหรี่ไฟฟ้าเป็นพิษภัยของเยาวชน แต่กระบวนการที่จะสานพลังจริงในการที่จะจัดการบุหรี่ไฟฟ้าให้หมดสิ้นกันไปเลย เป็นสิ่งที่สำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน และภาคของสื่อมวลชนจะเป็นกำลังสำคัญในการที่จะช่วยสื่อสารให้เห็นถึงพิษภัย และอยากจะบอกว่าบุหรี่ไฟฟ้าทำให้อายุค่าเฉลี่ยของคนไทยลดลงถึง 10 ปี และอายุของการมีสุขภาพที่ดีลดลง 8 ปี ขึ้นอยู่กับปริมาณการสูบ ดังนั้นจึงหมายความว่า 18 ปีที่สูญหายไปไม่ว่าจะเป็นจากความพิการที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องของมะเร็งที่ต้องตัดอวัยวะออก โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่หายใจไม่ออกเป็นความพิการ และต้องติดเตียง พวกนี้เป็นสิ่งที่หลบซ่อนอยู่จากบุหรี่มวนและบุหรี่ไฟฟ้าที่จะมีเด็กอายุน้อยสูบมากขึ้นบ่อยขึ้น จึงส่งผลกระทบต่อสังคมในระยะยาว
“สสส. จึงได้สานพลังร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ขับเคลื่อนการควบคุมยาสูบทั้งในส่วนกลางและท้องถิ่น ในการร่วมมือกันสื่อสารข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเกี่ยวกับบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า พร้อมทั้งส่งเสริมการสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคม มุ่งหวังให้เกิดการเปลี่ยนผ่านทัศนคติเชิงบวก (Denormalization) จากการ ‘ห้ามใช้’ ไปสู่การที่เด็กและเยาวชน ‘ไม่อยากใช้’ ด้วยตนเอง และยังมุ่งเน้นการส่งเสริมบทบาทครอบครัว โรงเรียน และชุมชน ให้ร่วมกันเป็นพลังปกป้องเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ เชิญชวนทุกภาคส่วน ร่วมกันสร้างสังคมไทยที่ปลอดภัยจากบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อให้เด็กและเยาวชนไทยเติบโตอย่างมีสุขภาวะ” ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าว
อยากให้ภาครัฐเอาจริงเอาจังกับการควบคุมให้เป็นไปตามกฎหมายห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า

ด้าน นพ.วันชาติ ศุภจัตุรัส ผู้อำนวยการสำนักงานสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอด บุหรี่ กล่าวว่า การแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยเป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าเมื่อปี 2564 คนไทยสูบบุหรี่ไฟฟ้า 78,742 คน แต่ในปี 2567 เพิ่มเป็น 900,459 คน หรือเพิ่มมากถึง11.44 เท่า และได้แพร่ระบาดไปถึงกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี เพิ่มมากขึ้น ซึ่งธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้าทำการตลาดแบบมุ่งเป้าไปยังเด็กและเยาวชน เพื่อสร้างลูกค้าถาวรระยะยาว มีการออกแบบรูปลักษณ์ สีสัน กลิ่น รส ที่หลากหลาย รูปแบบ เพื่อดึงดูดใจเช่น Toy Pod กล่องนม รวมถึงการใช้การโฆษณาและขายทางสื่อต่างๆ ทาง social media และ infuencer ที่เป็นที่นิยมของวัยรุ่น โดยให้ข้อมูลผิดๆ พร้อมทั้งสร้างข่าวเท็จออกมาหลอกลวงให้หลงเชื่อ ว่า บุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยไม่มีสารพิษ
สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกเรื่องหนึ่งคือ บุหรี่ไฟฟ้ายังสามารถผสมสารเสพติดเข้าไปผสมกับน้ำยาได้อีก ซึ่งเป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยากและมีความรุนแรงหากเยาวชนนำไปสูบ
“ทั้งนี้เครือข่ายวิชาชีพสุขภาพเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ และสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ได้ใช้ความพยายามอย่างมากในการดำเนินการปกป้องเยาวชน ผ่านโครงการต่างๆ อาทิ บ้านปลอด บุหรี่ วัดปลอดบุหรี่ มหาวิทยาลัยปลอดบุหรี่ สถานประกอบกิจการ/โรงงานปลอดบุหรี่ สมาพันธ์ จังหวัดปลอดบุหรี่และคลินิกเลิกบุหรี่ (คลินิกฟ้าใส) รวมทั้งได้ร่วมกับทุกเครือข่ายนำข้อเสนอแนะ ‘คนไทยไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า เสนอประธานรัฐสภาและพรรคการเมือง เมื่อ 8 ธค. 67 ที่ลานคนเมือง มีประชาชนร่วมลงชื่อไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า 609,884รายชื่อ แต่เราก็มีความสามารถเพียงช่วยลดความต้องการ (Demand-side) เท่านั้น แต่ด้านการตลาดและการเข้าถึง (Supply-side) คงต้องอาศัยศักยภาพของหน่วยงานภาครัฐ ในการที่จะเอาจริงเอาจังกับการควบคุมให้เป็นไปตามกฎหมายห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า ให้เห็นผลชัดเจน” นพ. วันชาติ กล่าว

สุดท้าย นพ.วันชาติ ฝากไปถึงรัฐบาลว่า ประเทศไทยมีกฎหมายควบคุมยาสูบที่ดีมาก แต่การบังคับใช้ยังไม่เข้มข้น อยากให้รัฐบาลเข้ามาดูโดยเฉพาะเรื่องการควบคุมช่องทางการจัดจำหน่าย เพื่อให้สังคมไทยเป็นสังคมปลอดบุหรี่
You must be logged in to post a comment Login