- ตั้งสติให้ดี “โลกนี้ มีเกิด มีตาย”Posted 4 months ago
- อย่าหาเรื่องอยู่ร้อน นอนทุกข์Posted 5 months ago
- โลกธรรมPosted 5 months ago
- อนุโมทนา คนพิการสู้ชีวิตPosted 5 months ago
- สลายความเกลียดชังPosted 5 months ago
- สู้ดีกว่าลาโลกPosted 5 months ago
- ใช้คาถาพระพยอมบ้างPosted 5 months ago
- เสียงชื่นชมดีกว่าเขาด่าPosted 5 months ago
- ต้องใช้ยาแรงกับคนขายชาติPosted 5 months ago
- บทเรียนผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวPosted 5 months ago
การใช้ศาสนาหาประโยชน์

คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 11 ก.ค. 68)
คำสอนของศาสนามีวัตถุประสงค์ในการสร้างความสงบขึ้นในจิตใจของมนุษย์เพื่อให้ความสงบในจิตใจนี้ก่อให้เกิดความสงบแก่สรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวของมนุษย์เอง
อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่มนุษย์มีความต้องการทางด้านวัตถุเพื่อตอบสนองกิเลสตัณหาในโลกชั่วคราวใบนี้ บางครั้ง มนุษย์บางคนได้นำเอาหลักความเชื่อและคำสอนของศาสนาไปแสวงหาประโยชน์ใส่ตนและพวกพ้อง บางครั้งถึงกับนำความเชื่อทางศาสนาไปเป็นเหตุผลในการทำสงครามทำลายชีวิตมนุษย์นับล้านที่พระเจ้าสร้างมา
สงครามครูเสดที่กินเวลานับร้อยปีเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดถึงการนำความเชื่อและคำสอนทางศาสนาที่ถูกบิดเบือนไปรับใช้ประโยชน์ของผู้นำคริสตจักร
หลังสมัยนบีมุฮัมมัด มุสลิมอาหรับได้ขยายดินแดนออกไปครอบคลุมเส้น่ทางการค้าทั้งทางบกและทางทะเลส่วนใหญ่ ไม่เพียงเท่านั้น แผ่นดินปาเลสไตน์ยังตกอยู่ภายใต้การปกครองของมุสลิมด้วย แม้ในแผ่นดินนี้มีเมืองเยรูซาเล็มที่เป็นเมืองสำคัญที่ชาวยิว ชาวคริสเตียนและชาวมุสลิม แต่ภายใต้การปกครองของมุสลิม ทุกศาสนิกต่างอยู่ร่วมกันอย่างสันติและได้รับสิทธิเสรีภาพในการปฏิบัติศาสนกิจตามความเชื่อของตน
นอกจากนี้แล้ว แผ่นดินปาเลสไตน์ยังมีเมืองเบธเลเฮมซึ่งเป็นบ้านเกิดของพระเยซูและนอกกำแพงเมืองเยรูซาเล็มยังเป็นที่ตั้งของลานตรึงกางเขนพระเยซูด้วย
ตรงจุดนี้ ชาวคริสเตียนเชื่อว่าพระเยซูถูกตรึงกางเขนจริง ส่วนชาวยิวเชื่อว่าพวกตนสังหารพระเยซู ส่วนคัมภีร์กุรอานให้ความกระจ่างแก่มุสลิมว่าผู้ถูกตรึงกางเขนนั้นมิใช่พระเยซู แต่เป็นใครบางคนที่พระเจ้าได้ทำให้รูปร่างหน้าตาเหมือนท่านและถูกนำไปตรึงกางเขนแทน มุสลิมจึงไม่ให้ความสำคัญแก่ไม้กางเขน แต่ชาวคริสเตียนให้ความสำคัญและถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์
ด้วยความเชื่อเช่นนี้เองที่โป๊ปเออร์บันที่ 2 ได้นำมาใช้ในการปลุกระดมชาวคริสเตียนในยุโรปให้เดินทางมาทำสงครามครูเสดใน ค.ศ. 1095 โดยให้เหตุผลว่าเพื่อปลดปล่อยเยรูซาเล็มและ“เอาไม้กางเขนกลับมา” การปลุกเร้านี้ทำให้ชาวคริสเตียนในอาณาจักรโรมันไบแซนตินจัดหาอาวุธและเดินทางไกลมุ่งมายังเยรูซาเล็มด้วยความเชื่อทางศาสนาเพื่อทำสงครามในดินแดนที่มุสลิมปกครอง
สงครามครูเสดครั้งใหญ่เกิดขึ้นประมาณสิบครั้ง กินเวลานานเกือบสองร้อยปีโดยกองทัพชาวคริสเตียนไม่สามารถเอาชนะมุสลิมได้ ดังนั้น ในบางครั้ง คริสตจักรถึงกับต้องระดมทุนทำสงครามด้วยการขายใบไถ่บาปเพื่อดึงดูดชาวคริสเตียนที่มีความเชื่อในโลกหน้าให้ไปทำสงคราม
แม้บางครั้ง กองทัพคริสเตียนสามารถยึดเมืองเยรูซาเล็มไว้ได้และชาวเมืองเยรูซาเล็มที่ประกอบด้วยชาวยิวและชาวมุสลิมต้องถูกสังหารเป็นจำนวนมาก แต่การยึดครองก็ไม่สามารถอยู่ได้นานเพราะถูกมุสลิมต่อต้านจนต้องล่าถอยกลับไป
สงครามครูเสดไม่เพียงแต่จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายคริสเตียนเท่านั้น แต่ยังทำให้คริสตจักรต้องแตกออกเป็นสองส่วนคือฝ่ายโรมันคาทอลิกและฝ่ายโปรเตสแตนท์ เพราะนโยบายขายใบไถ่บาปของคริสตจักรเป็นหนึ่งในหลายเรื่องที่ถูกปัญญาชนชาวคริสเตียนในเวลานั้นวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่มีอยู่ในคำสอนของศาสนาคริสต์
You must be logged in to post a comment Login