- ตั้งสติให้ดี “โลกนี้ มีเกิด มีตาย”Posted 4 months ago
- อย่าหาเรื่องอยู่ร้อน นอนทุกข์Posted 4 months ago
- โลกธรรมPosted 4 months ago
- อนุโมทนา คนพิการสู้ชีวิตPosted 4 months ago
- สลายความเกลียดชังPosted 4 months ago
- สู้ดีกว่าลาโลกPosted 4 months ago
- ใช้คาถาพระพยอมบ้างPosted 4 months ago
- เสียงชื่นชมดีกว่าเขาด่าPosted 4 months ago
- ต้องใช้ยาแรงกับคนขายชาติPosted 4 months ago
- บทเรียนผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวPosted 4 months ago
นบีมุฮัมมัดต้อนรับตัวแทนชาวคริสเตียน

คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 20 มิ.ย. 68)
เมื่อนบีมุฮัมมัดถือกำเนิดในเมืองมักก๊ะฮฺ ชาวอาหรับมีความเชื่ออย่างหนึ่งที่เหมือนกับชาวยิวและชาวคริสเตียนเวลานั้น นั่นคือ ความเชื่อว่าพระเจ้ามีลูก ชาวอาหรับเชื่อว่าทูตสวรรค์(มลาอิก๊ะฮฺ)เป็นบุตรสาวของพระเจ้า ส่วนชาวยิวยกย่องเอษราเป็นบุตรของพระเจ้าและชาวคริสเตียนยกย่องเยซัสเป็นบุตรของพระเจ้า
ความเชื่อดังกล่าวนี้มีหลักฐานปรากฏเมื่อนบีมุฮัมมัดพิชิตมักก๊ะฮฺได้ ท่านได้เข้าไปในก๊ะอฺบ๊ะฮและพบเทวรูปถึงสามร้อยหกสิบองค์ ท่านได้สั่งให้ทุบทำลายเทวรูปทั้งหมด ส่วนบนผนังภายในมีรูปวาดอับราฮัม รูปวาดเยซัสกับนางมารีและรูปวาดทูตสวรรค์ในจินตนาการของชาวอาหรับ นบีมุฮัมมัดได้สั่งให้ลบภาพเหล่านั้นทิ้งและห้ามทำรูปภาพเช่นนี้อีก
ถึงแม้ชาวคริสเตียนมีถิ่นฐานอยู่ในคาบสมุทรอาหรับมานาน แต่ชาวคริสเตียนไม่มีปัญหากับมุสลิม ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าแคว้นนัจญ์รอนซึ่งเป็นศูนย์กลางของชาวคริสเตียนอยู่ห่างจากมักก๊ะฮฺก็เป็นได้ การกระทบกระทั่งจึงไม่เกิดขึ้น ผิดกับชาวยิวที่ตั้งถิ่นฐานในชานเมืองมะดีนะฮฺและทำสงครามสู้รบกับมุสลิมมาโดยตลอด แต่ในที่สุด ชาวยิวก็ต้องพ่ายแพ้และบางเผ่าถูกเนรเทศออกจากแผ่นดินอาหรับ
ชาวคริสเตียนนับถือคัมภีร์ไบเบิลที่ประกอบด้วยพันธสัญญาเก่าและพันธสัญญาใหม่ แต่ชาวคริสเตียนในเวลานั้นมีความเชื่อในเรื่องตรีเอกานุภาพอย่างฝังใจแล้ว อย่างไรก็ตาม ผู้รู้คัมภีร์ไบเบิลต่างรู้ดีว่าทั้งสองพันธสัญญามีการพูดถึงการมาของนบีคนหนึ่งไว้ ชาวคริสเตียนจึงรอคอยการมาของนบีผู้นั้น
เมื่อนบีมุฮัมมัดเริ่มเผยแผ่อิสลามในมักก๊ะฮฺและสั่งสอนเรื่องความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวท่ามกลางการถูกต่อต้าน ชาวคริสเตียนยังไม่ตื่นตัวเท่าใดนัก แต่เมื่อนบีมุฮัมมัดได้อพยพไปยังมะดีนะฮฺและสามารถสถาปนาเมืองมะดีนะฮฺเป็นนครรัฐแห่งแรกของโลกโดยมีคัมภีร์กุรอานเป็นธรรมนูญปกครองแล้ว ชาวคริสเตียนก็เริ่มเห็นบทบาทและสนใจในคำสอนอิสลามที่นบีมุฮัมมัดนำมาเผยแผ่สั่งสอน
ประมาณปีที่ 9 หรือ 10 หลังการอพยพของนบีมุฮัมมัดซึ่งเป็นช่วงปลายชีวิตของท่าน ตัวแทนชาวคริสเตียนประมาณ 60 คนได้เดินทางไปเยี่ยมนบีมุฮัมมัดในเมืองมะดีนะฮฺและได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันในเรื่องความเชื่อทางศาสนากับนบีมุฮัมมัดโดยเฉพาะเรื่องลักษณะของพระเจ้ากับเรื่องตรีเอกานุภาพ(ความเป็นพระเจ้าอยู่ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระบิดาและพระบุตร)
ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงได้มีบัญชามายังนบีมุฮัมมัดว่า “จงกล่าว พระองค์คือพระเจ้าหนึ่งเดียว พระเจ้าที่ไม่พึ่งพาสิ่งใดในขณะที่ทุกสิ่งต้องพึ่งพาพระองค์ พระองค์ไม่ให้กำเนิดผู้ใด(ไม่เป็นพ่อใคร)และไม่ได้ถูกกำเนิดมาจากใคร(ไม่เป็นลูกใคร) และพระองค์ไม่เหมือนสิ่งใดและไม่มีสิ่งใดเหมือน” (กุรอาน 112:1-3)
การพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ทางศาสนาดำเนินไปด้วยดีโดยไม่มีการกดดันใดๆ ตัวแทนชาวคริสเตียนยังคงนับถือศาสนาคริสต์ต่อไป แต่ในที่สุด เมื่อรู้ว่านบีมุฮัมมัดเป็นประมุขของนครรัฐอิสลาม ตัวแทนชาวคริสเตียนได้ทำสนธิสัญญาฉบับหนึ่งกับฝ่ายมุสลิมโดยชาวคริสเตียนตกลงที่จะจ่ายญิซยะฮฺ (ภาษีรายหัวต่อปี)ให้แก่ท่านนบีเพื่อแลกกับการคุ้มครองชีวิต ทรัพย์สินและเสรีภาพทางศาสนา
สนธิสัญญาดังกล่าวอนุญาตให้ชาวคริสเตียนยังคงปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อของตนและบริหารจัดการกิจการต่างๆกันเอง ขณะที่อยู่ในเมืองมะดีนะฮฺ เมื่อชาวคริสเตียนต้องการทำพิธีกรรมทางศาสนา นบีมุฮัมมัดได้แสดงความใจกว้างอนุญาตให้พวกเขาทำในส่วนที่ไม่ขัดต่อหลักความศรัทธาของอิสลามในมัสญิดของท่าน
You must be logged in to post a comment Login