- ตั้งสติให้ดี “โลกนี้ มีเกิด มีตาย”Posted 4 months ago
- อย่าหาเรื่องอยู่ร้อน นอนทุกข์Posted 4 months ago
- โลกธรรมPosted 4 months ago
- อนุโมทนา คนพิการสู้ชีวิตPosted 4 months ago
- สลายความเกลียดชังPosted 4 months ago
- สู้ดีกว่าลาโลกPosted 4 months ago
- ใช้คาถาพระพยอมบ้างPosted 4 months ago
- เสียงชื่นชมดีกว่าเขาด่าPosted 4 months ago
- ต้องใช้ยาแรงกับคนขายชาติPosted 4 months ago
- บทเรียนผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวPosted 4 months ago
ภาครัฐ นักวิจัย ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน ร่วมเสวนาปลดล็อคศักยภาพของบริการเรียกรถผ่านแอปในภูมิภาค

การประชุมสุดยอดอุตสาหกรรมบริการเรียกรถผ่านแอปฯ ระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครั้งแรก เปิดเวทีตัวแทนจากภาครัฐ นักวิจัย ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน ร่วมเสวนาเพื่อปลดล็อคศักยภาพของบริการเรียกรถผ่านแอปในภูมิภาค
กรุงเทพฯ ประเทศไทย – 20 มิถุนายน 2568 – ประเทศไทยเดินหน้ากำหนดทิศทางอนาคตของระบบขนส่ง ด้วยการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดด้านบริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันครั้งแรกของภูมิภาค (The 1st Southeast Asia Ride-Hailing Industry Summit 2025) โดยมี Oppland Group ร่วมเป็นเจ้าภาพ หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของงานคือเวทีเสวนาในหัวข้อ
“ปลดล็อกศักยภาพอุตสาหกรรมบริการเรียกรถผ่านแอปฯในประเทศไทย: ความร่วมมือเชิงนโยบายและแนวทางขับเคลื่อนในอนาคต” หรือ “Unlocking Thailand’s Ride-Hailing Potential: Policy Collaboration and Pathways Forward” โดยมีผู้แทนจากภาครัฐ นักวิจัย ภาคประชาสังคม และภาคเอกชนเข้าร่วมอภิปราย ได้แก่
- ดร.ณรัณ โพธิ์พัฒนชัย (ผู้อำนวยการฝ่ายประเมินผลกระทบของกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา)
- ดร.สลิลธร ทองมีนสุข (นักวิจัยระดับอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย – TDRI)
- คุณอรรถพล คล้ายพยัฆ (ผู้แทนกลุ่มผู้ขับขี่)
- คุณสุภัทธา เนียมวณิชกุล (หัวหน้าฝ่ายนโยบายสาธารณะ บริษัท Bolt ประเทศไทย)
เนื้อหาการเสวนามุ่งเน้นไปที่มิติด้านกฎหมาย เศรษฐกิจ และสังคม ของอุตสาหกรรมเรียกรถผ่านแอปฯ ในประเทศไทย ตั้งแต่ประเด็นความร่วมมือด้านนโยบาย การยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ขับขี่ ไปจนถึงการรักษามาตรฐานการให้บริการ เพื่อวางรากฐานสำหรับระบบขนส่งที่ครอบคลุมและยั่งยืน
ในฐานะตัวแทนภาคเอกชน คุณสุภัทธา เนียมวณิชกุล เน้นย้ำถึงการเติบโตและบทบาทเชิงเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมนี้ โดยกล่าวว่า: “ในฐานะแพลตฟอร์มเรียกรถชั้นนำในประเทศไทย Bolt มุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อร่วมสร้างบริการเรียกรถผ่านแอปฯ ที่เข้าถึงได้ ครอบคลุม และพร้อมรับการเติบโตในอนาคต”
เธอกล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่ปี 2556 อุตสาหกรรมเรียกรถผ่านแอปฯ ของไทยมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันมีแพลตฟอร์มที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบก 11 ราย ให้บริการในกว่า 60 เมืองทั่วประเทศ และช่วยสร้างรายได้ให้แก่ผู้ขับขี่กว่า 500,000 คนต่อปี
ในแง่เศรษฐกิจ แพลตฟอร์มเรียกรถสร้างรายได้จากภาษีให้รัฐปีละกว่า 33 ล้านบาท และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจต่อเนื่องในอุตสาหกรรมยานยนต์กว่า 55,000 ล้านบาทต่อปี
ด้านการท่องเที่ยวก็ได้รับประโยชน์เช่นกัน – ในปี 2567 ผู้โดยสารที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติคิดเป็น 25% ของผู้ใช้งานแพลตฟอร์มรวม โดยมียอดเดินทางรวมกว่า 20 ล้านเที่ยว และสร้างรายได้ให้ธุรกิจท้องถิ่นกว่า 17,800 ล้านบาท
เธอยังเปิดเผยว่า ผู้ขับขี่ที่ของ Bolt มีรายได้เฉลี่ยมากกว่าค่าแรงขั้นต่ำ 2.5 เท่า โดย 59% ของผู้ขับขี่ระบุว่ารู้สึกเครียดเรื่องการเงินน้อยลง

ด้าน คุณอรรถพล คล้ายพยัฆ ตัวแทนกลุ่มผู้ขับขี่ฯ ได้สะท้อนมุมมองจากประสบการณ์จริงของผู้ให้บริการว่า: “พวกเราไม่ใช่แค่ผู้ให้บริการ แต่คือฟันเฟืองที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เราอยากปฏิบัติตามกฎหมาย และอยากทำงานอย่างมีศักดิ์ศรี มีความมั่นคง และภาคภูมิใจในอาชีพของเรา”
เขายอมรับว่าอุตสาหกรรมนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศ แต่ยังคงมีอุปสรรคในการเข้าสู่ระบบอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะขั้นตอนการจดทะเบียนรถสาธารณะที่ซับซ้อน ค่าเบี้ยประกันภัยที่สูง (โดยเฉพาะสำหรับผู้ให้บริการพาร์ตไทม์) รวมถึงค่าใช้จ่ายในการขอเอกสารประกอบจากบริษัทลีซซิ่ง
เขาเรียกร้องให้ภาครัฐพิจารณานโยบายและกฎหมายจากประสบการณ์จริงของผู้ให้บริการ และหลีกเลี่ยงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเร่งรีบเกินไป
ดร.ณรัน โพธิ์พัฒนชัย จากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวว่า: “บริการเรียกรถผ่านแอปฯ คือกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เราต้องมั่นใจว่ากฎหมายของเราจะเอื้อต่อการสร้างนวัตกรรม ปกป้องผู้บริโภค และคงความยั่งยืนของบริการในระยะยาว รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการประเมินผลกระทบของกฎระเบียบ (RIA) โดยเปิดให้หน่วยงานกำกับดูแล ภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการ ผู้ใช้บริการ และประชาชนทั่วไป มีส่วนร่วมในกระบวนการนี้อย่างรอบด้านและสม่ำเสมอ”
เขายังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการแยกความหมายระหว่าง “การเรียกรถผ่านแอปฯ” และ “การแชร์รถ” ให้ชัดเจนในกฎหมาย เพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนในการบังคับใช้กฎระเบียบ
ดร.สลิลธร ทองมีนสุข จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้นำเสนอผลการศึกษาประจำปี 2567 ของสถาบันวิจัยฯ ซึ่งพบว่า “ปัจจุบันประชากรในกรุงเทพฯและพื้นที่ปริมณฑล ประมาณร้อยละ 40 ใช้บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน และคาดว่ารายได้รวมของแพลตฟอร์มจะเพิ่มขึ้นจาก 17,000 ล้านบาท เป็น 33,000 ล้านบาท ภายในปี 2571 และเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการสร้างสภาพแวดล้อมทางกฎระเบียบที่ส่งเสริมนวัตกรรม โดยเฉพาะผ่านกลไกอย่าง regulatory sandbox และการแบ่งปันข้อมูล (data-sharing) เพื่อให้การกำหนดนโยบายที่เหมาะสมและยืดหยุ่นต่อการเกิดของนวัตกรรม”
ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเดินหน้าปฏิรูประบบเรียกรถผ่านแอปฯ อย่างเป็นรูปธรรม ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้ร่วมเสนอแนวทาง “การบังคับใช้กฎหมายอย่างค่อยเป็นค่อยไป” เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่น โดยมีข้อเสนอหลัก ดังนี้:
- ขยายการให้บริการออกใบอนุญาตขับรถสาธารณะในพื้นที่ที่มีความต้องการสูง
- สนับสนุนผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่มีความยืดหยุ่น และเหมาะสมกับผู้ขับขี่พาร์ตไทม์ ซึ่งถือเป็นกลุ่มหลักในระบบ
- ปรับปรุงขั้นตอนการจดทะเบียนรถรับจ้างสาธารณะที่ให้บริการผ่านแอปฯ รวมถึงกระบวนการด้านเอกสารให้มีความสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ผู้ร่วมเสวนาได้เตือนว่า หากขาดการเปลี่ยนผ่านที่มีการวางแผนและเตรียมการอย่างรอบคอบ อาจส่งผลให้ผู้ขับขี่จำนวนมากหลุดออกจากระบบ บริการครอบคลุมลดลง และความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวลดลง ซึ่งล้วนเป็นผลลัพธ์ที่สวนทางกับเป้าหมายของประเทศในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและการฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยรวม

เวทีเสวนาครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการกำหนดทิศทางนโยบายด้านการคมนาคมของประเทศ ให้สอดคล้องกับ นวัตกรรมจากแพลตฟอร์ม ความเป็นอยู่ของผู้ให้บริการ และ ความต้องการด้านการเดินทางในเมือง
ข้อเสนอแนะที่ได้รับจากเวทีนี้คาดว่าจะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันนโยบาย เพื่อสร้างระบบเรียกรถผ่านแอปฯ ที่ สมดุล ครอบคลุม และยั่งยืน สำหรับประเทศไทยในระยะยาว
You must be logged in to post a comment Login