- ตั้งสติให้ดี “โลกนี้ มีเกิด มีตาย”Posted 4 months ago
- อย่าหาเรื่องอยู่ร้อน นอนทุกข์Posted 4 months ago
- โลกธรรมPosted 4 months ago
- อนุโมทนา คนพิการสู้ชีวิตPosted 4 months ago
- สลายความเกลียดชังPosted 4 months ago
- สู้ดีกว่าลาโลกPosted 4 months ago
- ใช้คาถาพระพยอมบ้างPosted 4 months ago
- เสียงชื่นชมดีกว่าเขาด่าPosted 4 months ago
- ต้องใช้ยาแรงกับคนขายชาติPosted 4 months ago
- บทเรียนผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวPosted 4 months ago
สสส. หนุนสถาบันยุวทัศน์ ฯ สร้างเสริมสุขภาพเยาวชน โชว์ผลงาน 15 ปี “ลดบุหรี่ไฟฟ้า-อุบัติเหตุทางถนน-สุขภาวะทางเพศปลอดภัย” ชง 6 นโยบายต่อนายกรัฐมนตรี

สถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย (ยท.) ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดมหกรรมคนรุ่นใหม่รู้ทันภัยสุขภาพ : ก้าวสู่ปีที่ 15 สถาบันยุวทัศน์ แห่งประเทศไทย พร้อมยื่น 6 ข้อเสนอเชิงนโยบายลดภัยคุกคามสุขภาพต่อรัฐบาล โดยมีนางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีพร้อมรับมอบข้อเสนอเชิงนโยบาย

นางสาวจิราพร กล่าวว่า ขณะนี้เด็กและเยาวชนไทยพบเจอปัญหาการแพร่ระบาดบุหรี่ไฟฟ้า โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และอุบัติเหตุทางถนน ส่งผลทำให้เด็กและเยาวชนเจ็บป่วยทั้งด้านร่างกาย จิตใจ รวมถึงเกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพยากรที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศ ซึ่งรัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินมาตรการป้องกันเด็กและเยาวชนจากภัยคุกคามเหล่านี้ โดยให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชนในทุกด้าน ทั้งด้านการพัฒนาระบบการศึกษา ความปลอดภัย การสาธารณสุข และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเพื่อสร้างโอกาสและรายได้ รวมถึงวางรากฐานคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกช่วงวัย
“โดยเฉพาะนโยบายและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ให้ปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า นำมาสู่การจับกุมผู้กระทำผิดตั้งแต่วันที่ 26 ก.พ.-15 พ.ค. 2568 ได้ถึง 2,619 คดี ยึดของกลาง 1,703,802 ชิ้น มูลค่ารวมกว่า 324 ล้านบาท รวมถึงประสานกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย ดำเนินมาตรการสถานศึกษาปลอดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ขอแสดงความยินดีกับ ยท. ในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 15 ที่สนับสนุนการทำงานตามนโยบายรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง จนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพเด็กและเยาวชน และส่งมอบข้อเสนอแนะนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม จึงนับเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยที่หน่วยงานของคนรุ่นใหม่ทุ่มเทการทำงานเพื่อแก้ปัญหาของประเทศ” นางสาวจิราพร กล่าว

ด้าน นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ประเทศไทยเผชิญความท้าทายต่อภัยคุกคามสุขภาพอย่างรุนแรง โดยเฉพาะปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 พบคนไทยสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 11.44 เท่า จากเดิม 78,742 คนในปี 2564 เพิ่มเป็น 900,459 ในปี 2567 แม้พฤติกรรมการสูบบุหรี่ของประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป ในช่วงปี 2550-2567 มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่กลุ่มเด็กและเยาวชนกลับเพิ่มสูงขึ้น สอดคล้องกับข้อมูลการเฝ้าระวังพฤติกรรมทางสุขภาพเกี่ยวกับการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเยาวชนไทย ปี 2566 ของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สำรวจเด็กและเยาวชนอายุไม่เกิน 25 ปีทั่วประเทศ 61,688 คน พบ 25% สูบบุหรี่ไฟฟ้า ที่น่าห่วงคือการระบาดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 5 โรคหลัก ได้แก่ ซิฟิลิส หนองใน หนองในเทียม แผลริมอ่อน และกามโรคของต่อมและท่อน้ำเหลือง ในปี 2567 พบการป่วย 5 โรคหลักนี้ เท่ากับ 75.3 รายต่อแสนประชากร ซึ่งสูงขึ้นกว่า 3.2 เท่าของอัตราป่วยใน 10 ปีย้อนหลัง และส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับเยาวชน อายุ 15-24 ปี
นพ.พงศ์เทพ กล่าวต่อว่า ขณะที่ปัญหาอุบัติเหตุทางถนนยังมีความน่ากังวล ข้อมูลจากศูนย์อุบัติเหตุเพื่อเสริมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนน พบไทยมีผู้บาดเจ็บอุบัติเหตุทางถนน ปี 2567 จำนวน 118,660 คน เป็นเด็กและเยาวชนอายุไม่เกิน 24 ปี 37.68% พาหนะที่เกิดเหตุมากที่สุดคือ รถจักรยานยนต์ 78.08% ซึ่งอุบัติเหตุทางถนนยังเป็นสาเหตุการเสียปีสุขภาวะของประเทศไทย (DALYs) อันดับที่ 1 ของเพศชายและอันดับที่ 3 ของเพศหญิง ทั้งนี้ รายจ่ายด้านสุขภาพของประชาชนไทยใน 3 กองทุนหลัก เติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 5% ในปี 2568 มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า 3.9 แสนล้านบาทแล้ว เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2567 เป็น 11.9% หากยังลดจำนวนผู้ป่วยในกลุ่มโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ซึ่งมีคนเสียชีวิตสูงเฉลี่ยปีละ 4 แสนคนลงได้ จะส่งผลให้รัฐมีภาระค่าใช้จ่ายสุขภาพเพิ่มสูงขึ้น กระทบงบประมาณพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและพัฒนาประเทศด้านอื่นๆ ได้
“การสูบบุหรี่ทุกชนิด และดื่มแอลกอฮอล์ เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรค NCDs สสส. จึงยังคงยืนยัน 5 มาตรการปกป้องเด็กและเยาวชนจากผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่ 1.พัฒนาและจัดการองค์ความรู้ 2.สร้างความตระหนักหรือรับรู้โทษพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชน 3.เฝ้าระวังและการบังคับใช้กฎหมาย 4.พัฒนาศักยภาพเครือข่าย 5.ยืนยันนโยบายและมาตรการป้องกันและปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า หากประสบผลสำเร็จจะช่วยลดการเจ็บป่วยด้วยโรค NCDs ของคนไทยได้” นพ.พงศ์เทพ กล่าว

นายพชรพรรษ์ ประจวบลาภ เลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย (ยท.) กล่าวว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ยท. ได้ร่วมกับ สสส. ดำเนินงาน 1.ลดการสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า 2.ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยและลดอุบัติเหตุทางถนน 3.ส่งเสริมสุขภาวะทางเพศปลอดภัยและการเข้าถึงบริการถุงยางอนามัย 4.พัฒนาระบบบริการสุขภาพ (สนับสนุนการจัดตั้งกลไก ยุว อสม.และอาสาสร้างสุขภาพ) 5.พัฒนาสุขภาวะในกลุ่มเด็กและเยาวชนนอกระบบ ซึ่งมีผลงานเป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์ต่อสุขภาพของเด็กและเยาวชน เช่น 1.การป้องกันและควบคุมยาสูบ ได้ขับเคลื่อนลดการสูบบุหรี่ไฟฟ้าเชิงรุกกว่า 150 สถาบันการศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชน ครอบคลุมนักเรียนกว่า 100,000 คน ร่วมกับเครือข่ายเยาวชนทั่วประเทศกว่า 20 หน่วยงาน ลงนาม MOU ร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคมและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น กรุงเทพมหานคร องค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี และเมืองพัทยา ดำเนินมาตรการสถานศึกษาปลอดบุหรี่ไฟฟ้า สื่อสารผลกระทบจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้าร่วมกับ Influencer และจัดนิทรรศการในศูนย์การค้าต่าง ๆ มียอดรับชมทุกช่องทางกว่า 2 ล้านคน
นายพชรพรรษ์ กล่าวต่อว่า 2.ร่วมกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพและสสส. จัดตั้งระบบบริการสุขภาพที่เป็นมิตรสำหรับเด็กและเยาวชน ได้แก่ อาสาสร้างสุขภาพ (Gen-H) มีแกนนำเยาวชนทั่วประเทศกว่า 26,000 คน ทำหน้าที่สื่อสารสุขภาพในกลุ่มเด็กและเยาวชน รวมถึงจัดทำคู่มือจัดการเรียนรู้เรื่องบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าสำหรับผู้เรียนการศึกษานอกระบบใน 3 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ นครสวรรค์ และนครพนม 3.ส่งเสริมการเข้าถึงบริการถุงยางอนามัยผ่านจุดกระจายถุงยางอนามัย “จุดพกถุง” 4.สนับสนุนมาตรการลดอุบัติเหตุทางถนนใน 3 จังหวัดต้นแบบ ได้แก่ ชลบุรี ระยอง และขอนแก่น เฉพาะในจังหวัดระยอง ปี 2565 สามารถลดอัตราการเสียชีวิตของนักศึกษาอาชีวศึกษาเป็นศูนย์

“ในปีนี้ ยท. มีข้อเสนอเชิงนโยบายต่อนายกรัฐมนตรีผ่านรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 6 ข้อ 1. คงมาตรการห้ามจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย 2.บังคับใช้กฎหมายต่อผู้จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องและเด็ดขาด 3.ลดราคาถุงยางอนามัยเพื่อเพิ่มการเข้าถึงถุงยางอนามัยของเด็กและเยาวชน 4.อนุญาตให้ผู้ผลิตถุงยางอนามัยสามารถโฆษณาประโยชน์ของถุงยางอนามัยต่อสาธารณะได้มากขึ้น 5.เพิ่มหลักสูตรความปลอดภัยทางถนนในหลักสูตรการศึกษา 6.เร่งรัดจัดตั้งคณะอนุกรรมการด้านความปลอดภัยทางถนนในกลุ่มเด็กและเยาวชน ในคณะกรรมการศูนย์อำนวยความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ส่วนกลาง ทั้งนี้จะมีการติดตามข้อเสนอดังกล่าวอย่างต่อเนื่องต่อไป” นายพชรพรรษ์ กล่าว
You must be logged in to post a comment Login