- บทเรียนพระสายมูPosted 8 hours ago
- ไม่ตายก็คางเหลืองPosted 22 hours ago
- ช่วยกันเป็นฮีโร่Posted 2 days ago
- อย่าอ่อนแอแพ้ต่อกิเลสPosted 3 days ago
- พระรัตนตรัยดีที่ 1Posted 6 days ago
- ประเทศต้องเดินหน้าได้Posted 7 days ago
- เด็กไทยต้องทำชีวิตก้าวหน้าPosted 1 week ago
- ยุคทะเลเดือดPosted 1 week ago
- รวยลัดเป็นเปลวนรกPosted 1 week ago
- คนทำบุญลดลงPosted 2 weeks ago
หายนะภัยในโลกนี้ไม่เท่าหายนะภัยในโลกหน้า
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 4 ต.ค. 67)
เมื่อเราเห็นมดพากันคาบไข่ไต่ขึ้นสู่ที่สูง เรารู้ได้ทันทีว่าอีกไม่นานจะมีฝนตกและเกิดน้ำท่วม มดรู้ล่วงหน้าว่าจะมีภัยเกิดขึ้นเพราะมันได้รับสิ่งที่เรียกว่า “สัญชาติญาณ” ในการรับรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากพระเจ้าผู้ทรงเมตตาปรานี พวกมันจึงรอดจากหายนะภัย
สัญชาติญาณรู้ล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็มีอยู่ในหมู่มนุษย์เช่นกัน ชาวประมงสามารถรู้สึกได้จากประสบการณ์ของตัวเองว่าอีกไม่นานจะมีพายุหรือฝนตก ชาวประมงจะไม่ออกเรือเพราะจะเกิดอันตราย
ขณะมีชีวิตอยู่บนโลก มนุษย์ไม่มีความรู้ในเรื่องอนาคต เพราะช่วงชีวิตของมนุษย์เป็นเพียงปมเล็กๆบนเส้นด้ายของกาลเวลาที่ไม่รู้ว่าปลายอนาคตจะเป็นอย่างไร มนุษย์จึงได้แต่คาดการณ์จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต เพราะปัจจุบันคืออนาคตของอดีตที่ผ่านมา มนุษย์ที่รู้ประวัติศาสตร์จึงพอจะคาดการณ์ได้ว่าผลที่เกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมาจะส่งผลอย่าไรถึงอนาคต แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าสิ่งที่คาดการณ์ไว้จะเป็นไปตามนั้น
มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาบนโลกนี้ต่างได้รู้เห็นหายนะภัยอันยิ่งใหญ่ที่สร้างความเสียหายอย่างมหาศาลให้แก่ทรัพย์สินและชีวิตของมนุษย์โดยที่มนุษย์ไม่สามารถป้องกันและยับยั้งได้ เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ไฟป่า น้ำท่วม ดินถล่ม ซึ่งเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติและสงครามที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์
ภัยพิบัติดังกล่าวเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ แต่สำหรับมนุษย์ ชีวิตมิได้จบลงตรงความตาย หลังจากลมหายใจสิ้นสุด วิญญาณซึ่งเป็นชีวิตที่แท้จริงของมนุษย์ต้องเดินทางไปสู่อีกโลกหนึ่งไม่ต่างจากทารกที่คลอดออกจากโลกแห่งครรภ์มารดามาสู่โลกปัจจุบันที่ยาวนานกว่า แต่โลกหลังความตายนั้นเป็นโลกนิรันดร์ที่ไม่มีวันสิ้นสุด อนาคตของวิญญาณซึ่งเป็นชีวิตที่แท้จริงจะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับการกระทำของแต่ละคนในขณะที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้
มนุษย์ไม่มีความรู้ในเรื่องโลกหลังความตายเพราะมนุษย์ไม่เคยเห็นเหมือนกับทารกที่ไม่เคยเห็นโลกนี้เมื่อตอนอยู่ในครรภ์แม่ และเมื่อวิญญาณออกจากร่างในโลกนี้ไปแล้วก็ไม่สามารถกลับมายังโลกนี้ได้อีกเช่นเดียวกับทารกที่คลอดออกมาแล้วไม่สามารถกลับไปอยู่ในโลกแห่งครรภ์มารดาได้อีก
ทารกไม่ต้องเตรียมอะไรในการจะมายังโลกนี้เพราะทารกไม่มีสติปัญญาขณะอยู่ในครรภ์แม่ แต่เมื่อเติบโตมีสติปัญญา มีหูตา มีความสามารถแล้ว มนุษย์ต้องเตรียมตัวสำหรับชีวิตในโลกหลังความตาย แต่เนื่องจากไม่มีมนุษย์คนใดเคยเห็นโลกหลังความตายซึ่งมนุษย์รู้จักกันในคำว่านรกและสวรรค์ พระเจ้าผู้ประทานวิญญาณแก่มนุษย์ ผู้เป็นเจ้าของสวรรค์และนรกจึงคัดเลือกมนุษย์บางคนที่เรียกว่า “นบี” มาบอกข่าวถึงเรื่องโลกหน้าให้มนุษย์ได้รู้
นอกจากมนุษย์ไม่มีความรู้เรื่องโลกหน้าเพราะตาเนื้อมองไม่เห็นแล้ว มนุษย์ยังไม่มีสัญชาติญาณเตือนภัยเหมือนสัตว์ด้วย ดังนั้น พระเจ้าจึงให้นบีของพระองค์มาบอกมนุษย์ว่าหายนะภัยของมนุษย์ในโลกนี้ยังไม่รุนแรงน่าสะพรึงกลัวเหมือนหายนะภัยในโลกหน้า ในฐานะเป็นสิ่งถูกสร้างที่มีสติปัญญา มนุษย์จะถูกปล่อยให้ตัดสินใจเองว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ
ความเชื่อในเรื่องชีวิตหลังความตายและการตอบแทนการกระทำจึงมีอยู่ในคำสอนของทุกศาสนา เพราะศาสนาถูกส่งมาเพื่อมนุษย์เอง และความเชื่อในเรื่องโลกหน้าจะมีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์
แม้ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีอาจแจ้งล่วงหน้าถึงภัยพิบัติบางอย่างได้ เช่น วาตภัย อุทุกภัย แต่เมื่อมันเกิดขึ้น มนุษย์ก็ไม่สามารถป้องกันได้ แต่ยังมีหายนะภัยบางอย่างที่มนุษย์ไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด เหตุการณ์สีนามิที่คร่าชีวิตมนุษย์นับแสนคนบนฝั่งทะเลอันดามันเมื่อยี่สิบปีก่อนเป็นสิ่งยืนยันได้ถึงความจริงในเรื่องนี้
หายนะภัยในโลกนี้เป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวและเกินกว่าความสามารถของมนุษย์จะป้องกันได้ แต่หายนะภัยในโลกหน้าหรือการลงโทษบาปนั้นรุนแรงน่าสะพรึงกลัวและยาวนานกว่าหลายเท่า อย่างไรก็ตาม มนุษย์สามารถป้องกันหายนะภัยในโลกหน้าได้ด้วยการป้องกันตัวเองมิให้ทำชั่วขณะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้
You must be logged in to post a comment Login