- อย่าลงโทษมนุษย์มากเลยPosted 2 hours ago
- สงสารสัตว์โลกที่ก่อสงครามPosted 1 day ago
- มนุสสเปโตPosted 2 days ago
- ผู้ใหญ่ไม่รังแกเด็กPosted 3 days ago
- ควรเลือกวิธีอื่นที่ดีกว่านี้Posted 6 days ago
- ทำสติให้มั่นคงPosted 1 week ago
- บทเรียนPosted 1 week ago
- หลบฉาก – เก็บแต้มPosted 1 week ago
- พี่ไทยทำได้Posted 1 week ago
- อยากเห็นทุเรียนก่อนตายPosted 1 week ago
โลกานิยมกำลังล่มสลาย
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 6 ก.ย 67)
หลังยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ชาติยุโรปที่แยกตัวออกจากศาสนาเพราะความขัดแย้งกับคริสตจักรเริ่มทะนงในความรู้ใหม่ๆจนคิดว่าสติปัญญาของมนุษย์ก็เพียงพอแล้วสำหรับความเจริญก้าวหน้าและความสำเร็จในชีวิต ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยคำสอนของศาสนาอีกต่อไป นี่คือที่มาของโลกานิยม
ดังนั้น ชาติตะวันตกจึงมีนักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์ที่เสนอความคิดหรือทฤษฎีที่ดูว่าทันสมัยหลากหลายทฤษฎี แต่ไม่นาน ทฤษฎีที่มนุษย์คิดขึ้นก็ถูกท้าทายและได้รับการพิสูจน์ว่าขัดกับความจริงและส่งผลเสียต่อสังคมอย่างมหาศาล
หนึ่งในนั้นคือ ทฤษฎีประชากรของโธมัส โรเบิร์ต มอลธัส นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ เขาอธิบายว่าประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นในอัตราเรขาคณิต คือ เพิ่มจาก 2, 4, 8, 16 และภายในยี่สิบห้าปี ประชากรโลกจะเพิ่มเป็นสองเท่าในขณะที่ผลผลิตอาหารจะเพิ่มในอัตราเลขคณิต คือ 1,, 2, 3, 4 ซึ่งน้อยกว่าอัตราการเพิ่มของประชากร นั่นหมายความว่าภายในไม่กี่ปี อาหารจะมีจำกัดและจะเกิดความอดอยากขาดแคลน
คงเป็นเพราะการฉีกตัวออกจากศาสนา จึงทำให้มอลธัสไม่รู้จักพระเจ้าและไม่รู้ว่าพระเจ้าคือผู้สร้างทุกสรรพสิ่งรวมทั้งทุกชีวิต และพระองค์เป็นผู้ประทานปัจจัยยังชีพแก่ทุกชีวิตที่พระองค์สร้างมาด้วย เพราะพระองค์เป็นผู้ดูแลทุกสรรพสิ่งที่พระองค์สร้างมา เขาจึงคิดเรื่องที่ไม่เป็นจริงมาตั้งเป็นทฤษฎี และชาติต่างๆที่คิดว่าฝรั่งคิดอะไรทำอะไรถูกไปหมดได้ลอกเลียนทฤษฎีของเขามาสอนในมหาวิทยาลัย
ทฤษฎีของมอลธัสไม่เป็นความจริงเพราะการปฏิวัติทางอุตสาหกรรมและการเกษตรได้ทำให้ผลผลิตอาหารเพิ่มขึ้นจนบางครั้งต้องนำไปทิ้งหรือทำลายเพื่อรักษาดุลยภาพทางราคา
นอกจากนี้แล้ว ทฤษฎีของมอลธัสได้ถูกนำไปอ้างเพื่อการคุมกำเนิดประชากร (Birth Control) ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็นคำว่า “วางแผนครอบครัว” แทนเพื่อให้ดูดีขึ้น แผนการคุมกำเนิดประชากรได้ถูกนำไปเป็นเงื่อนไขหนึ่งสำหรับชาติด้อยพัฒนาที่จะต้องระบุในสัญญากู้เงินจากธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ)
แต่ไม่ว่าจะเรียกด้วยภาษาที่สวยหรูอย่างไร การคุมกำเนิดหรือการวางแผนครอบครัวเพื่อควบคุมประชากรในตอนเริ่มต้นจะทำโดยการใช้ถุงยางคุมกำเนิดและการทำแท้ง
ผลของการรณรงค์ให้ใช้ถุงยางคุมกำเนิดซึ่งต่อมาเรียกด้วยภาษาที่สวยหรูว่าถุงยางอนามัยไม่เพียงแต่ทำให้คู่สมรสที่ยังไม่พร้อมมีลูกได้ใช้เท่านั้น แม้แต่เด็กวัยรุ่นชั้นมัธยมยังมีโอกาสได้ใช้ทำชั่วโดยไม่ต้องรับผิดชอบด้วย ศีลธรรมในหมู่เยาวชนที่เป็นอนาคตของชาติจึงเสื่อมทรามลง แต่ที่น่าหดหู่ใจไปกว่านั้นก็คือมีการอนุญาตให้ตั้งตู้หยอดเหรียญซื้อถุงยางคุมกำเนิดหน้าสถาบันการศึกษาด้วย
แผนการคุมกำเนิดมีองค์กรที่อยู่ในรูปสมาคมเป็นตัวขับเคลื่อน เมื่อเด็กสาววัยรุ่นหลายคนที่ตั้งครรภ์เพราะความสนุกสานจนเสียตัวและเพื่อนชายไม่รับผิดชอบไปปรึกษาหาทางออกกับองค์กรนี้ คำแนะนำที่ได้หากไม่ต้องการมีลูกก็คือการทำแท้ง ดังนั้น วัดบางแห่งในกรุงเทพมหานครจึงมีซากทารกทั้งครบกำหนดและไม่ครบกำหนดคลอดถูกห่อไว้เพื่อรอทำฌาปนกิจนับพันห่อ
นี่คือผลพวงของการหลับหูหลับตาเดินตามชาติตะวันตกเพียงเพราะเห็นความเจริญทางวัตถุ
You must be logged in to post a comment Login