วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2567

เริ่มต้นของกฎการทำศึกในอิสลาม

On December 8, 2023

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่  8 ธ.ค.  66 )

ตลอดระยะเวลาสิบสามปีที่นบีมุฮัมมัดใช้เวลาเผยแผ่อิสลามอยู่ในเมืองมักก๊ะฮฺ  แม้จะถูกข่มขู่คุกคามและต่อต้านถึงขั้นเอาชีวิต  แต่นบีมุฮัมมัดได้สั่งสาวกของท่านมิให้ยกแม้แต่กำปั้นขึ้นโต้ตอบ แต่ท่านกำชับสาวกของท่านให้ใช้ความอดทนและวิงวอนขอความช่วยเหลือต่อพระเจ้า  อีกมาตรการหนึ่งที่ท่านใช้เมื่อพระเจ้าอนุญาตก็คือการให้สาวกของท่านกลุ่มหนึ่งอพยพไปหลบภัยอยู่ที่อบิสสิเนีย

เมื่อการต่อต้านอิสลามถึงขั้นอยู่ก็ถูกไล่ ไม่ไปก็ถูกฆ่า  นบีมุฮัมมัดและมุสลิมที่เหลือจึงอพยพไปยังเมืองยัษริบ

แม้นบีมุฮัมมัดอพยพไปยังเมืองยัษริบแล้ว  บรรดาหัวหน้าชาวมักก๊ะฮฺก็ยังไม่พอใจเพราะเกรงว่าในวันข้างหน้า  มุสลิมจะเติบโตเข้มแข็งขึ้นมาท้าทายอำนาจของตน  ดังนั้น  หัวหน้าชาวอาหรับจึงเตรียมจัดทัพกำจัดนบีมุฮัมมัดและมุสลิมในเมืองยัษริบให้สิ้นซาก

ในสถานการณ์เช่นนี้เอง  พระเจ้าได้อนุญาตให้มุสลิมที่ถูกกดขี่ข่มเหงจับอาวุธต่อสู้เพื่อป้องกันตนเองด้วยเหตุผลและกฎของการต่อสู้ด้วยอาวุธไว้ดังต่อไปนี้ :

“ทำไมสูเจ้าจึงไม่ต่อสู้ในหนทางของพระเจ้าเพื่อผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กที่อ่อนแอและถูกกดขี่ และพวกเขาร้องว่า ‘โอ้พระเจ้าของเรา  โปรดทรงนำเราออกจากเมืองที่ผู้คนของมันเป็นผู้กดขี่ข่มเหง และโปรดตั้งผู้คุ้มครองจากพระองค์ให้แก่เรา และได้โปรดตั้งผู้ช่วยเหลือแก่เราด้วยเถิด’” (กุรอาน 4.75)

“สำหรับบรรดาผู้ถูกโจมตีนั้นได้รับอนุญาตให้ต่อสู้ เพราะพวกเขาถูกกดขี่ข่มเหง และพระเจ้าทรงสามารถช่วยพวกเขาได้อย่างแน่นอน (กุรอาน 22.39)

“คนเหล่านี้คือผู้ถูกขับไล่ออกจากบ้านเรือนอย่างไม่เป็นธรรมเพียงเพราะเขากล่าวว่า “อัลลอฮฺคือพระเจ้าของเรา”  ถ้าหากอัลลอฮฺไม่ทรงกำราบคนหมู่หนึ่งโดยอาศัยคนอีกหมู่หนึ่ง  สถานที่บำเพ็ญภาวนา โบสถ์ สุเหร่าและมัสญิดซึ่งเป็นสถานที่ที่พระนามของอัลลอฮฺถูกกล่าวรำลึกก็จะถูกทำลาย อัลลอฮฺจะทรงช่วยบรรดาผู้ที่ช่วยเหลือพระองค์” (กุรอาน 22.40)

“และจงต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺกับบรรดาผู้ที่ต่อสู้สูเจ้า แต่จงอย่าละเมิดขอบเขต เพราะพระเจ้าไม่ทรงรักผู้ละเมิด” (กุรอาน 2.190)

“จงต่อสู้พวกเขาไม่ว่าสูเจ้าจะเผชิญหน้าพวกเขา ณ ที่ใดในการรบ และจงขับไล่พวกเขาออกไปจากที่ที่พวกเขาขับไล่สูเจ้าออกมา ถึงแม้ว่าการฆ่าจะเป็นสิ่งไม่ดี แต่การการกดขี่ข่มเหงนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าการฆ่า จงอย่าต่อสู้กับพวกเขาใกล้มัสยิดอัลฮะรอม เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะโจมตีสูเจ้าที่นั่น และถ้าพวกเขาโจมตีสูเจ้าก่อน(แม้แต่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้น) จงต่อสู้พวกเขา  นี่เป็นการลงโทษที่พวกปฏิเสธพึงจะได้รับ (กุรอาน 2.191)

ที่กล่าวมาเป็นคำสั่งจากพระเจ้าซึ่งเป็นที่มาของกฎในการทำสงครามเพื่อให้นบีมุฮัมมัดและบรรดาสาวกของท่านปฏิบัติเมื่ออยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว

หลังจากอพยพออกจากมักก๊ะฮฺไปยังยัษริบได้สองปี  สิ่งที่นบีมุฮัมมัดคาดไว้ก็เกิดขึ้นเมื่อผู้นำชาวมักก๊ะฮฺนำกำลังคนของตนประมาณหนึ่งพันคนที่พร้อมด้วยอาวุธ เสบียงอาหารและการร้องรำทำเพลงฉลองชัยชนะเป็นการล่วงหน้าโดยมีจุดหมายที่เมืองยัษริบ

เมื่อรู้ข่าวการมาของกองทัพจากมักก๊ะฮฺ  นบีมุฮัมมัดรวบรวมมุสลิมที่พร้อมรบได้ประมาณสามร้อยคนพร้อมอาวุธที่พอจะหาได้ในยามฉุกละหุก  นบีมุฮัมมัดนำสาวกของท่านออกไปตั้งรับผู้รุกรานที่นอกตัวเมืองยัษริบ   เมื่อทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน  นบีมุฮัมมัดได้ละหมาดเคารพสักการะพระเจ้าและวิงวอนต่อพระเจ้าว่า “หากพระองค์ไม่ทรงช่วยเหลือบ่าวผู้ศรัทธาในวันนี้  ต่อไปจะไม่เหลือผู้ใดสักการะพระองค์”

ก่อนการสู้รบเกิดขั้น  นบีมุฮัมมัดได้ออกกฎในการทำสงครามให้สาวกของท่านปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เช่น

ต้องเจตนาทำศึกเพื่อพระเจ้า ไม่ใช่เพื่อชำระแค้น

ห้ามฆ่าผู้หญิง เด็ก คนแก่ นักบวชและผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องในการรบ

ห้ามทำลายต้นไม้ ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามใส่ยาพิษในบ่อน้ำ

ห้ามทำลายศพ

ปฏิบัติต่อเชลยศึกด้วยดี

เมื่อฝ่ายตรงข้ามเสนอสันติภาพ ต้องตอบรับ

ทรัพย์สินและอาวุธที่เก็บได้ในสนามรบต้องนำมามอบให้นบี


You must be logged in to post a comment Login