- กลืนเลือดไม่ให้เสียใจPosted 2 days ago
- ระลึกถึงพ่อหลวง ร.9Posted 2 days ago
- 5 ธ.ค.วัดสวนแก้วแตกแน่Posted 3 days ago
- จะกลับมาแบบไหนPosted 4 days ago
- เลือกงานให้โดน บริหารคนให้เป็น ตาม“ลัคนาราศี”Posted 4 days ago
- ต่างศาสนา ต่างชาติพันธุ์ อยู่ร่วมกันภายใต้ความแตกต่างPosted 4 days ago
- โลภ•ลวง•หลง เกมพลิกชีวิต รีแบรนด์หรือรีบอร์นPosted 4 days ago
- กูไม่ใช่ไก่ต้มเว้ย! อย่ามาต้มกูเลย..Posted 4 days ago
- หยุดความรุนแรง-ลวงโลกPosted 5 days ago
- อ.เบียร์ช่วยวัดสวนแก้วPosted 1 week ago
จากเด็กกำพร้าสู่การเป็นศาสนทูต
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 29 ก.ย. 66 )
อัชชามในประวัติศาสตร์อิสลามคือดินแดนทางตอนเหนือของคาบสมุทรอาหรับ ครอบคลุมพื้นที่ประเทศซีเรีย จอร์แดน ปาเลสไตน์และเลบานอนในปัจจุบัน เป็นดินแดนในอดีตที่อาณาจักรไบแซนตินและอาณาจักรเปอร์เซียผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะในการทำสงครามเพื่อเข้าครอบครอง
อัชชามเป็นชุมทางการค้าแห่งหนึ่งบนเส้นทางสายไหมที่สินค้าจากจีน อาณาจักรเปอร์เซีย อาณาจักรไบแซนตินและอาฟริกาจะถูกนำมาแลกเปลี่ยนซื้อขายและกระจายไปในดินแดนต่างๆ
เด็กชายมุฮัมมัดเคยร่วมเดินทางกับกองคาราวานของลุงไปค้าขายยังอัชชามตั้งแต่อายุ 12 ปี ดังนั้น มุฮัมมัดจึงเห็นสินค้าจากต่างถิ่น เห็นวิธีการซื้อขาย การเจรจาต่อรองและได้ยินคำบอกเล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ผู้คนต่างถิ่นนำมาแลกเปลี่ยนกันในการพูดคุย
เมื่อโตเป็นหนุ่ม มุฮัมมัดมีอุปนิสัยที่ไม่เหมือนวัยรุ่นชาวอาหรับที่ชอบการผจญภัยและใช้ชีวิตสนุกสนานตามประสาคนวัยหนุ่ม เขาเคยถูกเพื่อนเชิญไปร่วมงานเลี้ยงฉลองที่มีการดื่มสุรา การเต้นรำและการมั่วสุมทางเพศ แต่เขาพลาดทั้งสองงานเพราะเกิดอาการง่วงอย่างหนักจนไม่สามารถไปร่วมงานได้ เขาไม่กราบไหว้รูปเคารพที่ผู้คนนับถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์รอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺ และที่สำคัญที่สุดคือชาวมักก๊ะฮฺให้ฉายาเขาเองว่า “อัลอะมีน” ซึ่งหมายถึงผู้ซื่อสัตย์และไว้วางใจได้ เพราะเขาไม่เคยโกหก
ประสบการณ์ทางการค้าบวกกับความซื่อสัตย์เป็นคุณสมบัติที่ทำให้มุฮัมมัดเป็นพ่อค้าที่ได้ทั้งกำไรและชื่อเสียงจนนางเคาะดีญะฮ์แม่ม่ายผู้มั่งคั่งวัย 40 ปีส่งคนมาทาบทามขอแต่งงานด้วย ในตอนนั้น มุฮัมมัดอายุเพียง 25 ปี เมื่อลุงเห็นด้วย เขาจึงแต่งงานกับนางเคาะดีญะฮฺ ทั้งสองคนใช้ชีวิตครอบครัวอย่างมีความสุขและมีลูกด้วยกัน 6 คนเป็นชาย 2 คนและหญิง 4 คน แต่บุตรชายทั้งสองตายตั้งแต่ยังเป็นทารก
เมื่อมุฮัมมัดย่างเข้าวัย 35 ปี อาคารก๊ะอฺบ๊ะฮฺที่ถูกสร้างมาเป็นเวลานานได้ผุพังลงตามกาลเวลา บรรดาหัวหน้าชาวมักก๊ะฮฺจึงร่วมกันซ่อมแซมโดยแบ่งงานให้แต่ละเผ่าไปทำ เมื่อการซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อย เหลือแต่การติดตั้งหินดำเข้าที่เดิมเพียงอย่างเดียว ปัญหาก็เกิดขึ้นเมื่อต่างเผ่าต่างต้องการเป็นผู้นำหินดำไปติดตั้งเองเพราะทุกเผ่าถือว่าเป็นงานที่มีเกียรติและไม่มีใครยอมใครจนพร้อมที่จะหลั่งเลือดกัน
แต่เมื่อคิดได้ว่าถ้าเสียเหงื่อในการซ่อมแซมก๊ะอฺบ๊ะฮฺมาด้วยกันแล้วต้องมาเสียเลือดอีก ทุกฝ่ายมีแต่จะสูญเสีย ดังนั้น หัวหน้าเผ่าต่างๆจึงตกลงกันพักงานติดตั้งหินดำไว้ก่อนและตกลงกันว่าเช้าวันรุ่งขึ้นหากใครเข้ามาในบริเวณรอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺเป็นคนแรก พวกเขาจะให้คนผู้นั้นเป็นผู้ตัดสินความขัดแย้ง
เช้าวันรุ่งขึ้น คนแรกที่เข้ามาในบริเวณก๊ะอฺบ๊ะฮฺคือมุฮัมมัด บรรดาหัวหน้าชาวเมืองมักก๊ะฮฺจึงเรียกมุฮัมมัดมาและเล่าปัญหาที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง
เมื่อได้ฟังปัญหาแล้ว มุฮัมมัดถอดเสื้อคลุมตัวนอกของเขาออกกางลงบนพื้นแล้วหยิบเอาหินดำวางลงตรงกลาง หลังจากนั้น เขาได้เรียกหัวหน้าเผ่าต่างๆที่ขัดแย้งกันมาจับชายเสื้อคลุมแล้วยกขึ้นพร้อมๆกัน เมื่อทุกฝ่ายยกหินดำขึ้นมาแล้ว เขาได้นำเอาหินดำไปติดตั้งตรงที่เดิม ปัญหาที่คู่กรณีแทบจะหลั่งเลือดกันก็ได้รับการแก้ไขโดยที่ทุกฝ่ายพอใจและภูมิใจ
ด้วยปฏิภาณในการแก้ปัญหาความขัดแย้งครั้งนั้น ทำให้บรรดาผู้นำชาวเมืองมักก๊ะฮฺมองเห็นถึงคุณสมบัติของมุฮัมมัดและพวกเขามีความหวังว่าในวันข้างหน้ามุฮัมมัดจะได้รับความไว้วางใจจากชาวเมืองให้ขึ้นมาเป็นผู้นำ
หลังเหตุการณ์ครั้งนั้น มุฮัมมัดยังคงใช้ชีวิตปรกติกับครอบครัวของเขาเหมือนปุถุชนทั่วไป แต่เมื่อว่างเว้นจากงาน เขามักจะนำเสบียงเล็กๆน้อยๆขึ้นไปปลีกวิเวกอยู่ในถ้ำเล็กๆบนภูเขาลูกหนึ่งที่ชานเมืองเพื่อตรึกตรองถึงสภาพสังคมที่ฟอนเฟะและวัตถุประสงค์ของการมีชีวิต
จนกระทั่งคืนหนึ่งในช่วงท้ายของเดือนรอมฎอน เขาต้องตกใจเมื่อรู้สึกถูกกอดรัดและถูกสั่งให้อ่านสิ่งที่เขาไม่เคยอ่าน และเมื่อรู้ในเวลาต่อมาว่าประสบการณ์ของเขาครั้งนั้นคือการที่เขาถูกแต่งตั้งให้เป็นศาสนทูตของพระเจ้าซึ่งถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์ก่อนหน้านี้ นับแต่นั้นมา ชีวิตคนธรรมดาของเขาก็เปลี่ยนไป
You must be logged in to post a comment Login