วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2567

จากเด็กกำพร้าสู่การเป็นศาสนทูต

On September 29, 2023

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่  29 ก.ย. 66 )

อัชชามในประวัติศาสตร์อิสลามคือดินแดนทางตอนเหนือของคาบสมุทรอาหรับ ครอบคลุมพื้นที่ประเทศซีเรีย จอร์แดน ปาเลสไตน์และเลบานอนในปัจจุบัน  เป็นดินแดนในอดีตที่อาณาจักรไบแซนตินและอาณาจักรเปอร์เซียผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะในการทำสงครามเพื่อเข้าครอบครอง

อัชชามเป็นชุมทางการค้าแห่งหนึ่งบนเส้นทางสายไหมที่สินค้าจากจีน อาณาจักรเปอร์เซีย  อาณาจักรไบแซนตินและอาฟริกาจะถูกนำมาแลกเปลี่ยนซื้อขายและกระจายไปในดินแดนต่างๆ

เด็กชายมุฮัมมัดเคยร่วมเดินทางกับกองคาราวานของลุงไปค้าขายยังอัชชามตั้งแต่อายุ 12 ปี  ดังนั้น มุฮัมมัดจึงเห็นสินค้าจากต่างถิ่น  เห็นวิธีการซื้อขาย  การเจรจาต่อรองและได้ยินคำบอกเล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ผู้คนต่างถิ่นนำมาแลกเปลี่ยนกันในการพูดคุย

เมื่อโตเป็นหนุ่ม  มุฮัมมัดมีอุปนิสัยที่ไม่เหมือนวัยรุ่นชาวอาหรับที่ชอบการผจญภัยและใช้ชีวิตสนุกสนานตามประสาคนวัยหนุ่ม  เขาเคยถูกเพื่อนเชิญไปร่วมงานเลี้ยงฉลองที่มีการดื่มสุรา การเต้นรำและการมั่วสุมทางเพศ  แต่เขาพลาดทั้งสองงานเพราะเกิดอาการง่วงอย่างหนักจนไม่สามารถไปร่วมงานได้  เขาไม่กราบไหว้รูปเคารพที่ผู้คนนับถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์รอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺ  และที่สำคัญที่สุดคือชาวมักก๊ะฮฺให้ฉายาเขาเองว่า “อัลอะมีน” ซึ่งหมายถึงผู้ซื่อสัตย์และไว้วางใจได้ เพราะเขาไม่เคยโกหก

ประสบการณ์ทางการค้าบวกกับความซื่อสัตย์เป็นคุณสมบัติที่ทำให้มุฮัมมัดเป็นพ่อค้าที่ได้ทั้งกำไรและชื่อเสียงจนนางเคาะดีญะฮ์แม่ม่ายผู้มั่งคั่งวัย 40 ปีส่งคนมาทาบทามขอแต่งงานด้วย  ในตอนนั้น มุฮัมมัดอายุเพียง 25 ปี  เมื่อลุงเห็นด้วย  เขาจึงแต่งงานกับนางเคาะดีญะฮฺ  ทั้งสองคนใช้ชีวิตครอบครัวอย่างมีความสุขและมีลูกด้วยกัน 6 คนเป็นชาย 2 คนและหญิง 4 คน แต่บุตรชายทั้งสองตายตั้งแต่ยังเป็นทารก

เมื่อมุฮัมมัดย่างเข้าวัย 35 ปี  อาคารก๊ะอฺบ๊ะฮฺที่ถูกสร้างมาเป็นเวลานานได้ผุพังลงตามกาลเวลา  บรรดาหัวหน้าชาวมักก๊ะฮฺจึงร่วมกันซ่อมแซมโดยแบ่งงานให้แต่ละเผ่าไปทำ  เมื่อการซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อย  เหลือแต่การติดตั้งหินดำเข้าที่เดิมเพียงอย่างเดียว  ปัญหาก็เกิดขึ้นเมื่อต่างเผ่าต่างต้องการเป็นผู้นำหินดำไปติดตั้งเองเพราะทุกเผ่าถือว่าเป็นงานที่มีเกียรติและไม่มีใครยอมใครจนพร้อมที่จะหลั่งเลือดกัน

แต่เมื่อคิดได้ว่าถ้าเสียเหงื่อในการซ่อมแซมก๊ะอฺบ๊ะฮฺมาด้วยกันแล้วต้องมาเสียเลือดอีก  ทุกฝ่ายมีแต่จะสูญเสีย  ดังนั้น หัวหน้าเผ่าต่างๆจึงตกลงกันพักงานติดตั้งหินดำไว้ก่อนและตกลงกันว่าเช้าวันรุ่งขึ้นหากใครเข้ามาในบริเวณรอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺเป็นคนแรก  พวกเขาจะให้คนผู้นั้นเป็นผู้ตัดสินความขัดแย้ง

เช้าวันรุ่งขึ้น  คนแรกที่เข้ามาในบริเวณก๊ะอฺบ๊ะฮฺคือมุฮัมมัด   บรรดาหัวหน้าชาวเมืองมักก๊ะฮฺจึงเรียกมุฮัมมัดมาและเล่าปัญหาที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง

เมื่อได้ฟังปัญหาแล้ว  มุฮัมมัดถอดเสื้อคลุมตัวนอกของเขาออกกางลงบนพื้นแล้วหยิบเอาหินดำวางลงตรงกลาง  หลังจากนั้น  เขาได้เรียกหัวหน้าเผ่าต่างๆที่ขัดแย้งกันมาจับชายเสื้อคลุมแล้วยกขึ้นพร้อมๆกัน  เมื่อทุกฝ่ายยกหินดำขึ้นมาแล้ว  เขาได้นำเอาหินดำไปติดตั้งตรงที่เดิม  ปัญหาที่คู่กรณีแทบจะหลั่งเลือดกันก็ได้รับการแก้ไขโดยที่ทุกฝ่ายพอใจและภูมิใจ

ด้วยปฏิภาณในการแก้ปัญหาความขัดแย้งครั้งนั้น  ทำให้บรรดาผู้นำชาวเมืองมักก๊ะฮฺมองเห็นถึงคุณสมบัติของมุฮัมมัดและพวกเขามีความหวังว่าในวันข้างหน้ามุฮัมมัดจะได้รับความไว้วางใจจากชาวเมืองให้ขึ้นมาเป็นผู้นำ

หลังเหตุการณ์ครั้งนั้น  มุฮัมมัดยังคงใช้ชีวิตปรกติกับครอบครัวของเขาเหมือนปุถุชนทั่วไป  แต่เมื่อว่างเว้นจากงาน  เขามักจะนำเสบียงเล็กๆน้อยๆขึ้นไปปลีกวิเวกอยู่ในถ้ำเล็กๆบนภูเขาลูกหนึ่งที่ชานเมืองเพื่อตรึกตรองถึงสภาพสังคมที่ฟอนเฟะและวัตถุประสงค์ของการมีชีวิต

จนกระทั่งคืนหนึ่งในช่วงท้ายของเดือนรอมฎอน  เขาต้องตกใจเมื่อรู้สึกถูกกอดรัดและถูกสั่งให้อ่านสิ่งที่เขาไม่เคยอ่าน และเมื่อรู้ในเวลาต่อมาว่าประสบการณ์ของเขาครั้งนั้นคือการที่เขาถูกแต่งตั้งให้เป็นศาสนทูตของพระเจ้าซึ่งถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์ก่อนหน้านี้  นับแต่นั้นมา  ชีวิตคนธรรมดาของเขาก็เปลี่ยนไป


You must be logged in to post a comment Login