วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2567

เมื่อมักก๊ะฮฺถูกรุกราน

On September 1, 2023

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่  1 ก.ย. 66 )

อับรอฮะเป็นแม่ทัพชาวอาฟริกันที่ถูกกษัตริย์นะญาชีย์แห่งอาณาจักรอักซุมส่งมาช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ถูกกดขี่ข่มเหงในแผ่นดินอาหรับโดยซูนูวาสผู้นับถือศาสนายูดาย หลังจากภารกิจเสร็จสิ้น  เขาไม่ได้กลับไปยังอาฟริกาเพราะเขาได้กลายเป็นกษัตริย์แห่งเยเมนไปแล้ว

เมื่ออยู่ในเยเมนหลายปี  อับรอฮะสังเกตเห็นว่าในเดือนหนึ่งของทุกปีจะมีกองคาราวานขนาดใหญ่เดินทางขึ้นไปทางเหนือและไปเป็นเวลานานกว่าจะกลับมา  ด้วยความสงสัย  อับรอฮะจึงถามคนท้องถิ่นที่เป็นคนรับใช้เขาว่ากองคาราวานเหล่านั้นไปไหนและไปทำอะไรกันทุกปี

อับรอฮะได้คำตอบว่ากองคาราวานเหล่านั้นเดินทางไปยังมักก๊ะฮฺเพื่อทำพิธีฮัจญ์ร่วมกับผู้คนในเผ่าต่างๆทั่วคาบสมุทรอาหรับ  และพิธีฮัจญ์ได้ทำสืบต่อกันมาตั้งแต่ครั้งอับราฮัมสร้างก๊ะอฺบ๊ะฮฺขึ้นมาเมื่อหลายพันปีก่อน 

เมื่อเขาถามต่อไปว่าพิธีฮัจญ์ทำกันอย่างไร  เขาได้รับคำตอบว่าผู้คนที่ไปทำพิธีฮัจญ์จะไปเดินเวียนรอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺและเชือดสัตว์พลีกันที่นั่น  เสร็จพิธีฮัจญ์แล้ว  ผู้คนก็จะแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าที่ตัวเองนำไปก่อนเดินทางกลับ 

อับรอฮะรุกถามต่อว่าก๊ะอฺบ๊ะฮฺคืออะไร มีลักษณะอย่างไร  เขาได้รับคำตอบว่าก๊ะอฺบ๊ะฮฺเป็นอาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้าสร้างด้วยก้อนหินธรรมชาติที่ถูกนำมาก่อเป็นกำแพงสี่ด้าน ไม่มีเสา ไม่มีการตกแต่งใดๆ  และผู้คนนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนกราบไหว้บูชามาตั้งไว้รอบๆ  ทุกปี ผู้คนจะมากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นั่นและผู้คนบางกลุ่มเปลือยกาย  บางกลุ่มปรบมือ  บางกลุ่มผิวปากในขณะเดินเวียนรอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺ

เมื่อได้ยินเช่นนั้น  อับรอฮะจึงเกิดความคิดที่จะทำให้อาณาจักรของเขายิ่งใหญ่ขึ้นมาทันที   หลังจากนั้น  เขาได้สร้างวิหารขนาดใหญ่และสวยงามกว่าก๊ะอฺบ๊ะฮฺขึ้นมาหลังหนึ่งในเยเมน  เมื่อสร้างเสร็จแล้ว  เขาได้ส่งตัวแทนของเขาออกไปเรียกร้องเชิญชวนชาวอาหรับเผ่าต่างๆทั่วอาหรับให้มาทำฮัจญ์ที่วิหารแห่งใหม่ที่เขาสร้างขึ้นในเยเมน

แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี  ยังไม่มีชาวอาหรับเดินทางมาทำฮัจญ์ที่เยเมนและพลเมืองของเขาที่เยเมนก็ยังคงไปทำฮัจญ์ที่มักก๊ะฮฺเหมือนเดิม   อาจเป็นเพราะอับรอฮะไม่รู้ว่าพิธีฮัจญ์ต้องทำที่มักก๊ะฮฺเท่านั้น  ด้วยเหตุนี้  เขาจึงคิดว่าก๊ะอฺบ๊ะฮฺคืออุปสรรคที่ขัดขวางผู้คนไม่ให้มาทำฮัจญ์ที่เยเมน  ดังนั้น  เขาจึงต้องทำลายก๊ะอฺบ๊ะฮฺที่เป็นอุปสรรคทิ้ง

อับรอฮะสั่งเตรียมกองทัพและมุ่งหน้าไปยังมักก๊ะฮฺเพื่อปฏิบัติภารกิจทำลายก๊ะอฺบ๊ะฮฺ  กองทัพของเขานอกจากจะมีทหารชาวอาฟริกาที่มากับเขาจำนวนหนึ่งแล้ว  ยังมีช้างอีกหลายตัวที่เขานำมาตั้งแต่ตอนที่ถูกส่งมาช่วยชาวคริสเตียนด้วย

ยิ่งกองทัพอับรอฮะเข้ามาใกล้มักก๊ะฮฺมากเท่าใด  ชาวอาหรับยิ่งตื่นตระหนกตกใจและหวาดกลัวยิ่งขึ้นเท่านั้นเพราะชาวอาหรับไม่เคยเห็นช้างมาก่อน  ดังนั้น  อับดุลมุฏฏอลิบ หัวหน้าชาวเมืองมักก๊ะฮฺจึงสั่งให้ชาวเมืองหนีขึ้นไปหลบภัยคอยดูสถานการณ์อยู่บนภูเขารอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺ

เมื่ออับรอฮะมาถึงมักก๊ะฮฺและเห็นก๊ะอฺบ๊ะฮฺอยู่ตรงหน้า   เขาได้สั่งควาญช้างให้ไสช้างตรงไปทำลายก๊ะอฺบ๊ะฮฺ  แต่ช้างศึกไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของควาญช้างไม่ว่าจะทำกับมันอย่างไรก็ตามยกเว้นมันถูกบังคับให้หันไปทางอื่นที่ไม่ใช่ก๊ะอฺบ๊ะฮฺ

เมื่อช้างปฏิเสธ  อับรอฮะได้สั่งให้ทหารนับหมื่นคนของเขาบุกเข้าไปทำลายก๊ะอฺบ๊ะฮฺ  แต่ทันใดนั้น  ชาวเมืองมักก๊ะฮฺได้เห็นฝูงนกขนาดมหึมาที่พวกไม่เคยเห็นมาก่อนบินโฉบผ่านก๊ะอฺบ๊ะฮฺและหย่อนเม็ดหินเล็กๆลงมาใส่กองทหารของอับรอฮะ

คัมภีร์กุรอานเล่าว่านกฝูงนี้มีชื่อว่า “อะบาบีล” และเมื่อหินที่นกคาบมาตกใส่ทหารคนใด  เนื้อหนังของทหารคนนั้นจะมีสภาพเหมือนกับใบไม้ที่ถูกหนอนกัดกินและล้มตาย  เมื่อเจอการโจมตีทางอากาศจากฝูงนก  กองทัพของอับรอฮะจึงล่าถอยกลับไปโดยที่ชาวมักก๊ะฮฺไม่ต้องลงมือรบและก๊ะอฺบ๊ะฮฺรอดจากการถูกทำลาย  ชาวมักก๊ะฮฺเรียกปีที่เกิดเหตุการณ์นี้ว่าปีช้าง 

หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นผ่านไปไม่ถึงปี  อับดุลมุฏฏอลิบหัวหน้าชาวเมืองมักก๊ะฮฺก็ได้หลานชายที่ชื่อว่า “มุฮัมมัด”  ที่ถูกส่งมาเป็นศาสนทูตคนสุดท้ายของพระเจ้าและผู้นำคัมภีร์กุรอานมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตสำหรับมนุษยชาติ


You must be logged in to post a comment Login