วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2567

ตัวเราเป็นของใคร?

On December 16, 2022

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่   16 ธ.ค.  65)

คำสอนของศาสนาสอนมนุษย์มิให้ยึดติดอยู่กับสิ่งถูกสร้างบนโลกใบนี้ รวมถึงตัวของเราเองด้วย  เราจึงได้ยินคำพูดที่ว่า “ตัวเรามิใช่ของเรา”

หลายคนเรียนรู้สารพัด  แต่ไม่ได้เรียนรู้พระธรรมคำสอนของศาสนา จึงคิดว่า “ตัวกูเป็นของกู”

คิดผิดตั้งแต่แรกอย่างนี้แล้ว  การทำผิดตามความคิดก็จะตามมา  เพราะถ้าคิดว่า “ตัวกูเป็นของกู  กูจะใช้ชีวิตอย่างไรก็ได้ เรื่องของกู”  สิ่งที่ตามมาก็คือ  “กูจะทำร้ายทำลายชีวิตอย่างไรก็ได้ เรื่องของกู”

ถ้ามนุษย์หนึ่งในสี่ของโลกคิดอย่างนี้  โลกเราก็จะไม่ต่างไปจากป่าดงดิบที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายเดินสองขาที่เรียกว่า “มนุษย์” เพราะถ้าหากมนุษย์ทำร้ายตัวเองได้เพราะคิดว่าชีวิตเป็นของตัวเอง ทำไมมนุษย์จะทำร้ายหรือทำลายคนอื่นไม่ได้?

ยิ่งไปกว่านั้น  มนุษย์ยังสามารถทำอะไรได้อีกหลายอย่างที่แม้แต่สัตว์ไม่ทำ

เราไม่เคยเห็นสัตว์ฆ่าตัวตาย  แต่มนุษย์ทำ  เราไม่เคยเห็นสัตว์ตัวผู้สมสู่กัน แต่มนุษย์ทำ

ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าถ้า “ตัวเรามิใช่ของเรา” แล้ว  ตัวเราทั้งร่างกายและวิญญาณเป็นของใคร?

อิสลามให้คำตอบเรื่องนี้ไว้ในคัมภีร์กุรอานว่า “เราเป็นของพระเจ้า และยังพระองค์ที่เราจะกลับไป”

นี่เป็นความหมายของถ้อยคำภาษาอาหรับที่คนมุสลิมถูกสั่งสอนให้กล่าวเมื่อประสบเคราะห์กรรม ความสูญเสียหรือความทุกข์ยากลำบากหรือได้ยินข่าวการตาย

คำกล่าวนี้เตือนมนุษย์ผู้ศรัทธาให้รู้ว่าเราเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า  ดังนั้น พระองค์จะทำอะไรกับเราอย่างไรก็ได้  เหมือนกับที่เราเป็นเจ้าของอะไรบางอย่างและเรามีสิทธิ์จะทำอะไรกับสิ่งนั้นก็ได้ไม่ว่าจะเอาไปเผาไฟหรือโยนทิ้ง ให้คนอื่นหรือขายต่อ

การยอมรับความประสงค์ของพระเจ้าและความจริงของชีวิตจึงทำให้ใจสงบและไม่ทำให้ทุกข์บานปลายขยายไปถึงคนอื่น

กฎแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นกฎที่พระเจ้าสร้างไว้เพื่อเตือนมนุษย์ว่ามนุษย์ไม่ได้เป็นเจ้าของชีวิตของตัวเองทั้งร่างกายและวิญญาณ

ถ้ามนุษย์เป็นเจ้าของชีวิต  คงไม่มีมนุษย์คนใดอยากแก่ อยากเจ็บป่วยและตาย  แต่มนุษย์ไม่สามารถหลีกหนีกฎดังกล่าวได้พ้น

คนไม่รู้ความจริงของชีวิตเวลาเจ็บป่วยจึงเกิดความท้อแท้สิ้นหวัง หมดกำลังใจซึ่งทำให้อาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว หรือคิดมากจนเกิดโรคประสาทเพิ่มและสร้างความรำคาญให้แก่ลูกหลานหรือคนใกล้ชิดที่คอยดูแล  สุดท้าย  บางรายทนทุกข์ไม่ไหวก็ฆ่าตัวตาย

คำสอนของอิสลามสอนให้มุสลิมปรับทัศนคติของตัวเองยามประสบทุกข์ว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่ต้องยอมรับหรือยอมจำนน  เพราะพระเจ้ามีวัตถุประสงค์เสมอในสิ่งที่พระองค์ทรงให้บังเกิดขึ้น อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อเตือนมนุษย์ว่า

  • ตัวเรามิใช่ของเรา และเราอ่อนแอจนพ่ายแพ้ต่อโรคภัยไข้เจ็บ แม้แต่เชื้อโรคตัวเล็กๆ
  • พระเจ้าเป็นผู้ให้เกิดโรคต่างๆขึ้นมาเพื่อให้มนุษย์คิดค้นยารักษา  นบีมุฮัมมัดกล่าวว่า “ไม่มีโรคใดที่พระเจ้าให้เกิดขึ้นแล้วไม่มียารักษานอกจากความตาย”
  • การเจ็บไข้ได้ป่วยของใครบางคนจนต้องนอนพักบนเตียงอาจทำให้คนผู้นั้นได้ออกห่างจากความชั่วบางอย่างและมีโอกาสได้คิดทบทวนถึงการกระทำของตัวเองที่ผ่านมาหลังจากไม่มีใครสามารถห้ามปรามได้ นี่คือความเมตตาของพระเจ้า
  • มนุษย์ถูกสร้างมาในสภาพอ่อนแอ  จึงไม่มีมนุษย์คนใดแม้แต่ผู้ศรัทธาในพระเจ้าไม่เคยทำความผิดบาปที่จะต้องถูกลงโทษ  ในอิสลามจึงมีคำสอนว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงเมตตาและผู้ทรงให้อภัย การเจ็บป่วยบางครั้งจึงเป็นการลบล้างบาปเล็กๆน้อยๆที่ผู้ศรัทธาได้ทำไว้เพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปถูกลงโทษในโลกหน้าที่หนักหนาสาหัสและยาวนานกว่า
  • ความอดทนต่อการเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเคราะห์กรรมคือการยอมรับพระประสงค์ของพระเจ้า ถือเป็นการปฏิบัติคุณธรรมแห่งความอดทนซึ่งเป็นคุณธรรมขั้นสูง และคัมภีร์กุรอานกล่าวว่า “พระเจ้าจะอยู่กับผู้อดทน”

You must be logged in to post a comment Login