วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2567

หมายเหตุรอมฎอน (1)

On April 8, 2022

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 8 เม.ย.  65)

ตลอดเดือนเมษายนของปีนี้เป็นช่วงเวลาที่มุสลิมที่บรรลุวัยผู้ใหญ่ทั้งชายและหญิงในประเทศต่างๆทั่วโลกต่างถือศีลอดซึ่งเป็นศาสนบัญญัติสำคัญหนึ่งในห้าประการของอิสลาม  มุสลิมคนใดละเว้นการถือศีลอดโดยไม่มีเหตุผลที่พระเจ้าอนุมัติถือว่าทำบาปใหญ่

ประเทศมุสลิมอาจเริ่มต้นเดือนรอมฎอนต่างกันเพราะปฏิทินทางจันทรคติอาศัยการดูดวงจันทร์ มุสลิมในประเทศไทยเริ่มต้นวันที่ 3 เมษายน ส่วนในภูมิภาคตะวันออกกลางเริ่มวันที่ 2 เมษายน

คัมภีร์กุรอานกล่าวว่าเดือนรอมฎอนเป็นเดือนที่คัมภีร์กุรอานถูกประทานลงมาเพื่อเป็นทางนำแก่มนุษยชาติ ไม่ใช่เฉพาะชาวอาหรับเท่านั้นแม้จะถูกประทานมาเป็นภาษาอาหรับก็ตาม ความจริงแล้ว นบีมุฮัมมัดกล่าวว่าวจนะของพระเจ้าที่ประทานมายังมนุษย์ผ่านทางนบีคนสำคัญอย่างเช่น อับราฮัม โมเสส ดาวูดและเยซัส ล้วนถูกประทานมาในเดือนรอมฎอนทั้งสิ้นและวจนะของพระเจ้าที่ถูกบันทึกไว้เรียกว่าคัมภีร์

ความจริงแล้ว วจนะของพระเจ้าที่ถูกประทานแก่มนุษย์และถูกบันทึกไว้ก็คือกฎหมายในการดำเนินชีวิตทั้งทางด้านส่วนตัวและสังคมนั่นเอง โตราห์ก็คือกฎหมาย  แต่สังคมที่จะได้รับประโยชน์จากกฎหมายอย่างเต็มที่คือสังคมที่ผู้คนในสังคมนั้นเกรงกลัวพระเจ้าและกฎหมายที่มาจากพระองค์

นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมพระเจ้าจึงกำหนดให้ผู้ศรัทธาในพระองค์ถือศีลอดในเดือนรอมฎอน เพราะคัมภีร์กุรอานกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการถือศีลอดไว้ชัดเจนว่า “โอ้บรรดาผู้ศรัทธา การถือศีลอดได้ถูกกำหนดแก่สูเจ้าเช่นเดียวกับที่ได้ถูกกำหนดแก่ผู้คนก่อนหน้าสูเจ้า ทั้งนี้เพื่อที่สูเจ้าจะได้ยำเกรง”

ถ้าสังคมหรือประเทศใดมีกฎหมาย  แต่ผู้คนไม่เกรงกลัวกฎหมาย สังคมนั้นก็จะเกิดความวุ่นวายไร้ระเบียบและผู้คนในสังคมนั้นเองจะได้รับความเสียหาย

การถือศีลอดคือการงดเว้นจากการกิน การดื่มและการกระทำบางอย่างที่ได้รับอนุมัติในยามปกติตั้งแต่แสงอรุณเบิกฟ้าจนกระทั่งดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า  การงดเว้นจากการกิน การดื่มและการกระทำบางอย่างให้บทเรียนแก่ผู้ถือศีลอดว่าเมื่อสิ่งจำเป็นต่อชีวิตยังงดเว้นได้ ทำไมสิ่งที่ไม่จำเป็นเช่นอบายมุขจะงดเว้นไม่ได้  แต่การอดอาหารและน้ำเป็นเพียงวิธีการภายนอกที่ถูกใช้เพื่อฝึกจิตวิญญาณภายในไม่ให้ทำชั่ว นบีมุฮัมมัดจึงเตือนว่าหากใครถือศีลอดและยังนินทาว่าร้ายคนอื่น คนผู้นั้นก็ไม่ได้อะไรนอกจากความหิว

ข้อความจากคัมภีร์กุรอานข้างต้นยังบอกให้รู้อีกว่าก่อนหน้าอิสลาม ชนชาติหรือกลุ่มชนที่พระเจ้าส่งศาสดาหรือนบีให้นำคำสอนของพระองค์มาเผยแผ่ก็เคยถูกกำหนดให้ถือศีลอดเช่นกัน ดังนั้น เราจึงเห็นร่องรอยการถือศีลอดหรือการอดอาหารในบรรดาผู้นับถือศาสนาต่างๆในรูปแบบที่ต่างกัน

พระสงฆ์ในพุทธศาสนาฉันเพลแล้วจะไม่ฉันอาหารอีกจนถึงเวลาฉันเพลในวันรุ่งขึ้น แต่ยังดื่มน้ำได้

โมเสสอดอาหารและน้ำทั้งวันก่อนขึ้นไปรับโตราห์จากพระเจ้าบนภูเขาซีนาย เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า โมเสสจึงกินและดื่ม หลังจากนั้นก็อดอาหารต่อเป็นเวลาสี่สิบวัน ลูกหลานอิสราเอลจึงถือศีลอดอาหารตามโมเสส

แต่เนื่องจากการอดอาหารและน้ำของลูกหลานอิสราเอลมีขึ้นในเดือนที่อากาศร้อนตามปฏิทินทางสุริยคติซึ่งทำให้ต้องถือศีลอดในเดือนที่ซ้ำกันทุกปี ประกอบกับต้องอดอาหารยาวนานและมีกฎห้ามมีความสัมพันธ์ทางเพศในระหว่างการถือศีลอด พวกลูกหลานอิสราเอลจึงไม่สามารถทนการถือศีลอดอาหารตามแบบโมเสสได้  เมื่อพระเยซูถูกส่งมาเพื่อยืนยันธรรมบัญญัติของโมเสส ท่านก็ถือศีลอดเหมือนโมเสส  แต่หลังจากพระเจ้ารับท่านไปจากโลกนี้ จึงมีพวกลูกหลานอิสราเอลน้อยคนที่ถือศีลอดตามแบบโมเสส

ด้วยเหตุนี้  ในสมัยของนบีมุฮัมมัด พระเจ้าจึงกำหนดให้ผู้ศรัทธาในพระองค์ถือศีลอดเฉพาะในช่วงเวลากลางวันเท่านั้น หลังจากดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว การใช้ชีวิตก็เป็นไปตามปกติ และให้ถือศีลอดในเดือนรอมฎอนตามปฏิทินทางจันทรคติซึ่งมีเวลาน้อยกว่าปฏิทินสุริยคติ 10-11 วัน จึงทำให้ชาวมุสลิมถือศีลอดในทุกฤดูกาลโดยที่วัตถุประสงค์ยังคงเดิม นั่นคือ เพื่อให้ผู้ถือศีลอดเกิดความยำเกรงพระเจ้าและปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์


You must be logged in to post a comment Login