วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2567

เราย้ายไป 10 เมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกกัน

On May 11, 2021

คอลัมน์ :โลกอสังหาฯ

ผู้เขียน : ดร.โสภณ พรโชคชัย

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 14-21 พ.ค. 64)

ใครอยากย้ายประเทศเชิญทางนี้ (ฮา) ตอนนี้มีกระแส “ย้ายประเทศกันเถอะ” ซึ่งคงเป็นกระแสทำนอง “ประชดประชัน” เพราะความไม่เป็นธรรมในสังคมเป็นหลัก โดยเห็นได้จากความเหลื่อมล้ำในสังคม การตัดสินความที่ไม่เป็นธรรม การกลั่นแกล้งผู้เห็นต่างทางการเมือง ฯลฯ

คนไทยล้วนรักบ้านเกิดเมืองนอน แต่ถ้าผู้ปกครองขาดความเป็นธรรม ก็อาจทำให้เกิดการ “ย้ายประเทศ” ได้ ทั้งนี้การย้ายประเทศจริงมีมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยสงครามอินโดจีนที่คนไทยจำนวนมากโดยเฉพาะระดับเศรษฐีเตรียมตัวย้ายเพราะทำท่าว่าไทยจะล้มเป็นโดมิโนเช่นประเทศอื่นในอินโดจีน จนเศรษฐีเหล่านั้นทำกรีนการ์ดไว้บ้าง หรืออย่างน้อยก็มีวีซ่าระยะยาวเข้าไปอยู่ในอเมริกาทันทีที่ “สิ้นชาติ”

มีคนถามผมบ่อยมากว่าเมืองไหนน่าอยู่ที่สุดในโลก แม้ผมจะเดินทางไปเยือนทั่วโลกกว่า 200 เมืองมาแล้ว แต่เรื่องแบบนี้ตอบยากครับ วันนี้เรามาดูก่อนหน่อยว่าเมืองไหนน่าอยู่ที่สุดบ้าง เผื่อจะพัฒนาเมืองของเราให้น่าอยู่เฉกเช่นอารยประเทศบ้าง  แต่การพิจารณาว่าเมืองไหนน่าอยู่นั้นขึ้นอยู่กับความเคยชิน เราอยู่ที่ไหนก็เคยชินที่นั่น แม้ที่นั่นจะไม่น่าอยู่นักก็ตาม เช่น เราอยู่ในกรุงเทพมหานคร เมืองที่ผู้คนมีโอกาสตกท่อ หรือเจอจี้ปล้น ผู้คนอาจเสียชีวิตเพราะความมักง่ายและความประมาทของผู้อื่นก็ตาม แต่ก็น่าอยู่ เพราะเราอยู่จนเคยชิน ให้ย้ายไปอยู่ในมหานครที่ดี ๆ อื่น ๆ เราก็คงไม่ไป เพราะเราไม่เคยชินนั่นเอง

ความเคยชินนี้ไม่ใช่เรื่องอัตวิสัย แต่หมายรวมถึงเครือข่ายหรือ Network ของเรา หากเราไปอยู่ในมหานครชั้นดีและชั้นนำของโลก แต่ไร้ญาติขาดมิตร เราก็คงเหงาหงอย ไม่น่าอยู่ แต่หากเราอยากหลีกเร้น หนีให้พ้นจากอดีตอันขมขื่น อยากตัดขาดจาก Network ของเราที่เมืองไทย แล้วปลีกวิเวกไปอยู่ที่อื่น อย่างนี้เราก็จะสามารถมาเริ่มต้นหาว่าเมืองไหนเอ่ยที่น่าอยู่น่าอาศัยที่สุดในโลก

แต่ก่อนที่เราจะไปค้นหาดูว่าเมืองไหนน่าอยู่ เราต้องดูกระเป๋าของเราด้วย ถ้าเราไม่มีเงินสักอย่างเดียว ทุกที่ก็คือ “นรก” ดีๆ นี่เอง เพราะเราคงอยู่อย่างอดอยาก ฝืดเคืองไม่ได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเราต้องมีเงินถุงเงินถังเพียงพอที่จะไปใช้ชีวิตที่นั่น หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องมีงานทำอยู่ที่นั้น ๆ จึงจะสามารถไปอยู่อย่างปรกติสุขได้ หาไม่ก็จะอยู่อย่างไร้ค่า แร้นแค้นและอะไร ๆ ก็ไม่น่าอยู่ไปหมดนั่นเอง

ถ้าเรามี “ปัจจัย” คือเงินทองให้ใช้สอยตามอัตภาพอย่างเพียงพอ เราก็ค่อยมานั่งนึกได้ว่า มีมหานคร นครหรือเมืองหลายต่อหลายแห่งที่น่าอยู่น่าอาศัยในโลกนี้มากกว่ากรุงเทพมหานครของเราเป็นไหนๆ แต่ที่จะยกนี้ไม่ใช่ยกเพื่อข่มเมืองของเราเอง แต่เพื่อให้เมืองของเราได้มีการพัฒนาให้ทัดเทียมนานาอารยประเทศบ้าง ถ้าไม่ทันรุ่นผม ก็ให้ทันรุ่นต่อๆ ไปเป็นต้น

การอยู่ในนครที่ดีกว่าไทย ย่อมทำให้ไม่อยากกลับประเทศไทย ลองดูอย่างคนไทยที่ไปอยู่ในสหรัฐอเมริกา ก็คงไม่คิดย้ายกลับประเทศไทย ยกเว้นจะล้มเหลว หรือพอแก่ตัวลงยังมีสมบัติอยู่ในไทย หรืออาจกลับมาพักผ่อนเป็นครั้งคราว แต่ความสะดวกสบายคงสู้ในสหรัฐอเมริกาไม่ได้  หลายคนก็บอกว่าในสหรัฐอเมริกามีการเหยียดผิว แต่ถ้าเราอยู่ไปนานๆ ความเคยชินก็เยียวยาเราได้  แต่กรณีนายอานนท์ ที่อยู่นิด้า ก็เพิ่งไปเรียนปริญญาเอก และทำงานได้ปีเดียว ก็คงย้ายกลับเมืองไทยเพราะอยู่นิวยอร์กก็อาจไม่เห็นทางรุ่งของตนเอง

เพื่อนผมที่เรียนหนังสือด้วยกันมา พอย้ายไปสหรัฐอเมริกาก็ตั้งรกรากอยู่ที่นั่นกันเป็นส่วนใหญ่  นี่ถ้าปี พ.ศ.2530 ผมรับคำเชิญจากศาสตราจารย์ท่านหนึ่งที่จะให้ผมไปทำปริญญาเอกที่ฮาร์วาร์ดหรือเบิร์กเลย์ ป่านนี้ผมก็คงไม่กลับไทยแล้ว อาจทำงานสอนหนังสือที่นั่น เผลอๆ อาจได้ครอบครัวอยู่ที่นั่น ลูกสาวอาจผมบลอนซ์ หรือไม่ลูกชายอาจผิวดำเป็นเหนียงก็ได้นะครับ  ยิ่งเพื่อนชาวบังคลาเทศ อินเดีย ปากีสถานของผม เมื่อได้ย้ายไปออสเตรเลีย ก็ยิ่งไม่คิดจะกลับเลย อย่าว่าแต่อื่นไกล แม้ชาวจีนรุ่นปู่ย่าตายายของผมที่ย้ายมาเมืองไทยเมื่อ 70 ปีก่อน ก็ตั้งรกราก ไม่มีใครคิดจะกลับไปอยู่เมืองจีนสักคน ยกเว้นไปเยี่ยม

ที่นี้มาดูเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกจากการจัดอันดับล่าสุดโดยวารสาร the Economist ที่เว็บไซต์ Travelandleisure ได้นำมาลงเมื่อเดือนธันวาคม 2563 (https://bit.ly/3vGpA0f) พบว่า เมืองที่น่าอยู่ที่สุดเรียงตามลำดับดังนี้:

อันดับที่ 1 กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย

อันดับที่ 2 นครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย

อันดับที่ 3 นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย

อันดับที่ 4 นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น

อันดับที่ 5 นครแคลเกอรี ประเทศแคนาดา

อันดับที่ 6 นครแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา

อันดับที่ 7 นครโตรอนโต ประเทศแคนาดา

อันดับที่ 7 ร่วม กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

อันดับที่ 9 กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก

อันดับที่ 10 นครอะดีเลด ประเทศออสเตรเลีย

จะสังเกตได้ว่าเมืองที่น่าอยู่นั้นอยู่ในประเทศแคนาดา ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ถึง 8 เมืองซึ่งประเทศทั้งสามนี้ มีธรรมชาติที่สวยสดงดงามมากที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง นอกนั้นคือนครเวียนนาประเทศออสเตรีย และกรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์กในทวีปยุโรป อย่างไรก็ตามยังมีนครอื่น ๆ ที่น่าอยู่อีกมากมายแม้ในสหรัฐอเมริกาเอง เพียงแต่สำหรับคนไทยจะรู้สึกว่านครต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกาไม่ปลอดภัย โดยเป็นเพราะอิทธิพลของภาพยนตร์ร่วมสมัยนั่นเอง           อย่างไรก็ตามในนครที่น่าอยู่เหล่านี้ก็ยังมีคนไร้บ้านหรือผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ซึ่งหาเลี้ยงชีพด้วยการเก็บขยะ หรือในนครเหล่านี้ก็ยังมีย่านที่น่าจะอันตรายในระดับหนึ่ง และยิ่งถ้ามีแหล่งท่องเที่ยว ก็ยังจะพบมิจฉาชีพประจำถิ่นอีกด้วย ซึ่งผู้อยู่อาศัยก็ยังต้องมีความระมัดระวังในการอยู่อาศัย ไม่ใช่จะปลอดภัย 100″%

สำหรับการให้คะแนนเต็ม 10 นั้น ได้มีการให้คะแนนกันใน 5 ด้านได้แก่

1. ด้านความมั่นคงทางการเมือง ซึ่งนับเป็นเรื่องที่เปราะบางที่สุด โดยเฉพาะด้านภัยสงคราม สำหรับกรุงเทพมหานครก็อาจมีความเปราะบางทางด้านนี้ เพราะมีรัฐบาลที่ “สืบทอดอำนาจ”

2. ด้านบริการสุขภาพ ถ้ามีพร้อมและมีบริการที่ดี หากเจ็บไข้ได้ป่วยก็สามารถส่งโรงพยาบาลได้ทัน กรณีนี้จึงเป็นหลักประกันที่สำคัญมากในเมืองที่ไม่น่าอยู่มักมีบริการด้านนี้ที่ตกต่ำถดถอย

3. ด้านวัฒนธรรม เช่น อาคารสถานที่ ๆ น่าสนใจ น่าท่องเที่ยว มีประวัติศาสตร์ที่น่าภูมิใจ รวมทั้งมีสภาพแวดล้อมทางสังคมและธรรมชาติที่น่าอยู่อาศัย

4. ด้านการศึกษา เพื่ออนาคตของลูกหลานของผู้อยู่อาศัย การที่อยู่ในเมืองที่มีการศึกษาดี ประชากรก็ย่อมมีวัยวุฒิและคุณวุฒิที่ดีไปด้วย

5. ด้านสาธารณูปโภคและสาธารณูปการที่ดี เช่น ระบบขนส่งมวลชน รถประจำทาง ทางด่วน รถไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ เป็นต้น เพื่อความสุขสบายแก่ผู้อยู่อาศัยนั่นเอง

อย่างไรก็ตามก็ยังมีเมืองที่น่าสนใจและน่าอยู่อาศัยอีกหลายเมือง เช่น สิงคโปร์ นครซูริก สวิตเซอร์แลนด์ กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน นครมิวนิก เยอรมนี กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก กรุงโซล เกาหลีใต้ เป็นต้น ใครอยากไปอยู่เมืองไหนก็แล้วแต่อัธยาศัย จากประสบการณ์ของผมเอง ผมเชื่อว่าเมืองหลายๆ แห่งในเยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์และสแกนดิเนเวียน่าอยู่มาก แต่บางคนอาจไม่ชอบโดยเฉพาะในเยอรมนีที่ต่างคนต่างจริงจังมาก อัธยาศัยไมตรีอาจต่างจากคนไทยไปบ้าง เป็นต้น

แต่ถึงแม้เมืองที่น่าอยู่ทั้งหลาย จะเป็นเหมือนสรวงสวรรค์ก็ตาม แต่บางครั้งก็เป็นเหมือนสวรรค์ที่ไม่ค่อยมีความสุข (unhappy paradise) เพราะกฎระเบียบต่าง ๆ มีชัดเจนตามอารยประเทศ จะมานั่งร้องรำทำเพลง กินเหล้ารบกวนเพื่อนบ้าน คงต้องถูกตำรวจจับ/ปรับกันบ้าง บางครั้งชีวิตก็อาจจะเรียบง่ายและพอเพียงมาก ไม่มีชีวิตกลางคืน ต่างจากกรุงเทพมหานคร หรือเมืองในประเทศเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ที่แม้บางครั้งจะเป็นเสมือน “นรก” แต่ก็กลับเป็นนครที่มีความสุข (happy hell)

สำหรับผู้ได้เปรียบในสังคมไทย เช่น ข้าราชการโดยเฉพาะในระดับสูง และระดับที่สามารถฉ้อราษฎร์บังหลวงได้ หรือพ่อค้าที่มีเส้นสาย คนทำผิดกฎหมาย เช่น เปิดบ่อนเถื่อน ขายยาบ้า เปิดซ่องเถื่อน ทำหวยใต้ดิน คงรักเมืองไทยมากเป็นพิเศษ เพราะเปิดโอกาสให้พวกเขาร่ำรวยโดยปราศจากการตรวจสอบ และถึงแม้ทำผิดกฎหมายแต่มีเงิน ก็สามารถ “ลอยนวล” ได้อย่างหน้าตาเฉยเป็นที่ขัดหูขัดตาประชาชนในมากหลายกรณี

เราคงต้องเลือกเอาเอาล่ะครับว่า อยากจะอยู่ happy hell หรือ unhappy paradise!!!


You must be logged in to post a comment Login