วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2567

ยุคเกลื่อนกราดศาสดา

On March 17, 2021

คอลัมน์ : สำนักข่าวพระพยอม

ผู้เขียน : พระพยอม กัลยาโณ

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 17 มี.ค. 64)

และแล้วคำว่า ศาสนาใหม่ ยุคนี้ถือเป็นยุคเกลื่อนกราดศาสดาจริงๆ เพราะตอนนี้เห็นดูว่า อริยเมตไตรย เป็นศาสนาที่เรียกว่า เพี้ยนไปมาก เพราะไม่เคยเห็นศาสนาไหนกินเหล้าได้ และทำอะไรได้อีกหลายอย่าง มีการร้องรำทำเพลงก็ได้ ทำให้เกิดความรู้สึกว่า ศาสนานี้เป็นอะไรกันแน่ มาแบบนี้ ศาสนาแบบนี้จะต้องเป็นศาสนาชนิดที่ยุคพระศรีอารย์ หรือยุคเพี้ยนๆไปดูว่า ยุคนี้เขาเอายังไงกันแน่ ถ้าเขาจะบอกว่า เขาเป็นศาสดาก็ต้องเรียกกันว่า ศาสดาสัมภาเวสี ศาสนาเอาที่เกิด  

ตามพยากรณ์เขาบอกว่า พระพุทธศาสนาสำนักโคดมจะต้องหมดอายุ 5 พันปีไปแล้ว ถึงจะทำให้มีศาสนาใหม่ขึ้นมาได้ ไม่ใช่อยู่ๆแซงคิวขึ้นมาเฉย ซึ่งศาสนาแซงคิวเป็นศาสดาที่ต้องเรียกกันว่า ศาสนาตัณหาจัด อยากเกิดเหลือเกิน และเป็นศาสนาชนิดที่เรียกว่า คำพูดแรก กับคำพูดหลังไม่ตรงกันเลย เรียกว่า มันไม่ตรงกันเสียเลยว่า อยู่ๆบอกว่า เขาบอกเดี๋ยวจะเป็นนายกรัฐมนตรี จะแจงอะไรต่อมิอะไรขึ้นมา  

อย่างชนิดที่เรียกกันว่า ไม่เคยพบ ไม่เคยเห็น ไม่เคยมีมาก่อนระหว่างคำว่า เป็นศาสดา ถ้าเขาไม่มีอารมณ์ที่อยากมาเป็นผู้นำประเทศ นายกรัฐมนตรีอะไรหรอก เขาก็ต้องรักษาความเป็นศาสดาเอาไว้ให้มั่นคง ไม่ใช่ศาสดาแล้วก็อยากมาเป็นโน้น เป็นนี่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นศาสนา แล้วอยู่ๆอยากจะมาเป็นรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี แล้วก็มีคนที่ไม่น่าเชื่อตรงที่ว่า รองอธิบดี เป็นผู้หลัก ผู้ใหญ่ เป็นข้าราชการ แต่ไม่สัมปยุทธปัญญาในความศรัทธา 

เลยเป็นศรัทธาไม่สัมปยุทธ์ด้วยปัญญา ก็มักจะเข้าป่า เข้าดง เข้ารก เข้าพงไป เป็นศรัทธาที่ค่อนข้างเรียกว่า เชื่อง่าย เชื่อดาย งมงาย ไม่ได้มีคำว่า เป็นศาสนาในความหมายของผู้เลิศล้ำด้วยสติปัญญา ที่สำคัญก็คือว่า แปลกเกินเหตุ แปลกเกินไปก็คือ เขาบอกว่า ถ้าใครไปวิพากษ์วิจารณ์เขา จะต้องมีอันเป็นไป ตายก็มี เป็นนั่น เป็นนี่ไปก็มี เช่น คนขับเขาพูดอะไรทำนองวิจารณ์เขา ตายไปสองสามศพ 

พูดไป พูดมาคล้ายๆขู่ ถ้าเป็นศาสดายังมีอารมณ์ขู่คน และจะเป็นศาสนาอริยเมตไตรย ต้องมีแต่ความเมตตา ให้อภัย ไม่ใช่ว่า ใครไปพูดร้าย วิพากษ์วิจารณ์ก็จะต้องเจ็บ ต้องตาย อันนี้มันเป็นศาสนาโหดร้าย ใจดำ อำมหิตหรือเปล่า เอาล่ะ ก็เจอของแข็งแล้วล่ะ หมอปลาก็ท้าไม่กลัว แต่ที่หนักที่สุดเห็นจะเป็นเณรแอร์ ซึ่งเณรแอร์ว่า ต้องเรียกกันว่า เสียศูนย์เหมือนกัน ส่วนพระมหาไพรวัลย์ก็ชัดเจนแล้วล่ะ มืออาชีพ นักวิชาการ  

ส่วนอาตมาก็มีคนบอกว่า ปล่อยหมัดแรงไปหน่อย ถ้าไม่แรงก็กลัวจะไม่สะเทือนความรู้สึกที่เป็นฝ่ายปัญญา กระตุ้นปัญญากันหน่อยน่ะ อย่าเชื่อง่าย งมงายกันมากเลย เพราะว่า ศาสดาจริงๆนั้นต้องบำเพ็ญบารมีมากมาย ไม่ใช่อยู่ๆอยากเป็นก็เป็น อย่าได้ก็ได้ แล้วเป็นศาสนาแกว่งๆ เดี๋ยวจะเป็นนายกรัฐมนตรี เดี๋ยวอยากเป็นศาสดา ต้องเรียกกันว่า ยุคนี้เป็นยุคเกลื่อนกราดศาสดากันเสียจริงๆ 

เจริญพร 


You must be logged in to post a comment Login