วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2567

ปฏิรูปจากภายในสู่ภายนอก

On March 20, 2020

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่  20-27 มีนาคม 2563)

ในสมัยที่อาณาจักรโรมันไบแซนตินและอาณาจักรเปอร์เซียเป็นสองมหาอำนาจคู่แข่งที่ยิ่งใหญ่ของโลก คาบสมุทรอาหรับเป็นถิ่นฐานของชาวอาหรับที่ป่าเถื่อนไร้ความเจริญ ผู้คนเชื่อในเรื่องโชคลางไสยศาสตร์ กราบไหว้ภูตผีปิศาจและรูปเคารพที่ตั้งเรียงรายอยู่รอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺถึง 360 รูป กินซากสัตว์ และชอบใช้ชีวิตผจญภัย

ก่อนหน้าสมัยนบีมุฮัมมัดประกาศอิสลามในหมู่ชาวอาหรับ ผู้คนในอาณาจักรโรมันไบแซนตินนับถือศาสนาคริสต์ที่มีหลักความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ส่วนผู้คนในอาณาจักรเปอร์เซียนับถือลัทธิบูชาไฟและเชื่อในเรื่องโหราศาสตร์ ชาวไบแซนตินจึงมองชาวอาหรับและชาวเปอร์เซียว่ามีความเชื่อไม่ต่างกัน แต่ในเวลาเดียวกันทั้งสองมหาอาณาจักรได้พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงความเชื่อของชาวอาหรับให้มานับถือศาสนาของตน

แม้จะใช้ความพยายามอย่างมากมายในการเผยแผ่ศาสนาของตนในหมู่ชาวอาหรับ แต่ทั้งสองมหาอาณาจักรนี้ก็ไม่ประสบความสำเร็จ แต่เมื่อนบีมุฮัมมัดประกาศตนเป็นศาสนทูตของพระเจ้าเผยแผ่อิสลาม ภายในเวลา 23 ปี นบีมุฮัมมัดสามารถเปลี่ยนชาวอาหรับให้หันมานับถืออิสลาม และปฏิรูปชาวอาหรับที่ถูกสองมหาอาณาจักรในเวลานั้นดูถูกว่าเป็นชนชาติที่ป่าเถื่อนให้กลายเป็นชนชาติที่สร้างอู่อารยธรรมของโลกยาวนานนับพันปี

นบีมุฮัมมัดทำอย่างไรถึงเปลี่ยนแปลงชาวอาหรับได้เหมือนพลิกฝ่ามือ?

สิ่งแรกที่นบีมุฮัมมัดทำเมื่อเริ่มปฏิบัติภารกิจคือ การเรียกร้องชาวอาหรับสู่การศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว ซึ่งเป็นความเชื่อที่แตกต่างไปจากความเชื่อของศาสนาคริสต์ของอาณาจักรโรมันไบแซนตินและอาณาจักรเปอร์เซียในเวลานั้น

คัมภีร์กุรอานซึ่งเป็นวจนะของพระเจ้าที่ประทานแก่นบีมุฮัมมัดมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงความคิดและความเชื่อของชาวอาหรับเป็นอย่างมากทั้งในด้านลีลาทางภาษาและเนื้อหาที่กระตุ้นการใช้สติปัญญาของชาวอาหรับ จนกระทั่งชาวอาหรับได้หันมาศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว และความศรัทธานี้เองที่เปลี่ยนแปลงความคิด จิตใจ และสังคมของชาวอาหรับ

เดิมทีชาวอาหรับกินซากสัตว์ กินอาหารแล้วไม่ทำความสะอาดปาก ชาวอาหรับดื่มนมมากกว่าน้ำเพราะน้ำหายากกว่านม เนื่องจากน้ำเป็นสิ่งหายากในทะเลทราย ชาวอาหรับจึงไม่อาบน้ำและไม่ซักเสื้อผ้าเป็นแรมเดือน

แต่เมื่อชาวอาหรับเริ่มศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวที่เรียกว่า “อัลลอฮฺ” ชาวอาหรับจึงเลิกเคารพกราบไหว้รูปเคารพและละทิ้งความเชื่อในโชคลางไสยศาสตร์ กินอาหารที่พระเจ้าอนุญาตและงดเว้นอาหารที่ต้องห้าม ความเชื่อในอิสลามกำหนดให้ชาวอาหรับต้องละหมาดเพื่อเคารพสักการะพระเจ้าวันละ 5 เวลา และก่อนละหมาดผู้ทำละหมาดต้องชำระล้างร่างกายบางส่วน เช่น มือและแขนทั้งสองข้าง ใบหน้า ปาก ใบหู ศีรษะ และเท้า

date palm

ด้วยเหตุนี้จากนานทีอาบน้ำสักครั้ง ชาวอาหรับผู้ศรัทธาในพระเจ้าจึงต้องทำความสะอาดร่างกายวันละ 5 ครั้ง และในทุกวันศุกร์นบีมุฮัมมัดได้กำหนดให้ผู้ศรัทธาในพระเจ้าต้องอาบน้ำทั่วทั้งตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใหม่เพื่อไปละหมาดตอนบ่ายที่มัสยิด ดังนั้น ในหนึ่งสัปดาห์อย่างน้อยที่สุดชาวอาหรับจึงต้องอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายเพื่อไปละหมาดวันศุกร์ที่มัสยิด

หลังจากนั้นบทบัญญัติอิสลามยังได้กำหนดให้หญิงและชายต้องอาบน้ำชำระร่างกายทั่วทั้งตัวหลังการมีเพศสัมพันธ์หรือมีอสุจิหลั่งออกมาหรือเมื่อผู้หญิงหมดประจำเดือน

ด้วยคำสั่งให้ปฏิบัติในชีวิตจริงเพื่อแสดงออกถึงความศรัทธาในพระเจ้านี้เองที่ทำให้ชาวอาหรับต้องขุดบ่อและคลองเพื่อหาน้ำไว้ใช้บริโภคและปฏิบัติภารกิจทางศาสนา เมื่อมีน้ำการเกษตรและการดำรงชีวิตที่ดีก็ตามมา

ด้วยคำสอนที่ว่าในสวรรค์มีน้ำพุหรือสายน้ำไหลผ่าน หลังสมัยนบีมุฮัมมัดเมื่อชาวอาหรับสร้างบ้านหรือสร้างวัง ชาวอาหรับจะหาแหล่งน้ำและนำน้ำเข้ามาในบ้านหรือวังของตนเพื่อทำให้บ้านของตนมีลักษณะคล้ายกับสวรรค์ที่ถูกสาธยายไว้ในคัมภีร์กุรอาน

ความต้องการน้ำที่เริ่มต้นจากความศรัทธาภายในนี้เองที่ทำให้ชาวอาหรับต้องแสวงหาน้ำและรู้จักการใช้ประโยชน์จากน้ำจนชาวอาหรับกลายเป็นผู้สร้างอารยธรรมให้โลกในเวลาต่อมา


You must be logged in to post a comment Login